X

บิ๊กตระกูลโล่สถาพรพิพิธ วิเคราะห์สนามเลือกตั้ง “บ้านนายหัวชวน” รับ ปชป.ตรังไม่กลมเกลียว ต้องเอาตัวรอดกันเอง

บิ๊กตระกูลโล่สถาพรพิพิธ “สมชาย” วิเคราะห์สนามเลือกตั้ง “บ้านนายหัวชวน” รับ ปชป.ตรังไม่กลมเกลียวแล้ว ต้องเอาตัวรอดกันเอง ขอปล่อยมือเขต 1 รับดูแลแค่ 2 เขตหวั่นภาระหนัก มั่นใจบารมี “ชวน” ยังอยู่ เชื่อมือ “เฉลิมชัย” กวาดมากกว่า 52 ที่นั่ง แม้กระแสปชป.จะเปลี่ยนไป
.
ตรัง-บิ๊กตระกูลโล่สถาพรพิพิธ “สมชาย” ออกโรงวิเคราะห์สนามเลือกตั้ง ตรังบ้านนายหัวชวน ขอปล่อยมือเขต 1 หวั่นรับภาระหนักเกินรุมกันหลายพรรค ขอรับดูแลแค่เขต 3 ของลูกสาว และเขต 4 ที่เฟ้นผู้สมัครมาแข่งหลานตัวเอง รับ ปชป.ตรังไม่กลมเกลียวแล้ว เหตุแผลเก่าศึกนายกฯอบจ. ต้องเอาตัวรอดกันเอง จับตาเขต 2 “สาทิตย์” มวยคู่มันส์สุด มั่นใจบารมี “ชวน” ยังอยู่ ฐานเสียงผู้สูงอายุ แต่ละเขตนอนมาแล้ว 2 หมื่นคะแนน เชื่อฝีมือ “เฉลิมชัย” กวาดมากกว่า 52 ที่นั่ง แม้กระแสปชป.จะเปลี่ยนไป ไม่วิจารณ์ “ชวน” ตำหนิคนย้ายพรรคคบไม่ได้ ชี้ เป็นปกติของการย้ายไปย้ายมา
.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีตส.ส.ตรัง เขต3 พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย บิดาน.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรังเขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นน้องชายนายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายกฯ อบจ.ตรัง ซึ่งนายสมชายถือเป็นหัวเรือใหญ่ทางการเมืองของตระกูลโล่สถาพรพิพิธ ได้เปิดบ้านพักส่วนตัวให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะบรรยากาศการเตรียมการเลือกตั้งส.ส.ในพื้นที่จ.ตรัง ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า แม้ไม่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโดยตรงจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตนเองเป็นสายเลือดพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนเลขาธิการพรรคนั้นเป็นเพื่อนกัน โดยเฉพาะรองหัวหน้าพรรคภาคใต้(นายเดชอิศม์ ขาวทอง) เป็นเพื่อนดีกัน ยังไงตนก็ต้องช่วยประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งพฤตินัยหรือนิตินัย เพราะตนเกิดมาจากตรงนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นในเชิงการมอบหมายแต่ตนเองอยากช่วยเหลือดูแลประสานงาน 2 เขตก็คือ เขต 3 และเขต 4 เขต 3 ก็คือ ส.ส สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ และเขต 4 ก็คือนายกาญจน์ ตั้งปอง อดีตสท.เมืองกันตัง ซึ่งมาจากอีกหลายคนที่ช่วยกันเฟ้นหามา ด้วยการทำโพลและได้ชัยชนะแบบสมบูรณ์ สุดท้ายก็ได้ลงสมัครในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนเขตอื่นตนไม่ได้รับผิดชอบดูแล ตนช่วยเหลือ 2 เขตนี้ เหมือนกับเป็นหัวคะแนนช่วยหาเสียงให้ในฐานะที่เป็นคนประชาธิปัตย์เก่า

นายสมชายกล่าวถึงความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่จ.ตรัง ว่า ไม่เชิงว่าจะหนักใจ แต่คิดว่าต้องทำการบ้าน เราต้องยอมรับความจริงว่า เดี๋ยวนี้อย่าว่าแต่พื้นที่อื่นเลย พื้นที่จ.ตรังเองก็ไม่เหมือนเดิมสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนสมัยก่อนแค่เราลงสมัครก็ได้แล้ว แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ เพราะมีปัจจัยอื่นมาทำให้สถานการณ์การเมืองในจ.ตรังเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นต้องทำการบ้านและหาเสียงกันหนักพอสมควร โดยเฉพาะในทั้ง 2 เขตที่ตนไปช่วย อย่างไรก็ตามในเขตเลือกตั้งที่ 3 คือส.ส.สุณัฐชา ตนในฐานะพ่อประเมินสถานการณ์แล้วคงจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าเราดูผู้สมัครก็ดี คู่แข่งก็ดีถือว่าไม่แข็ง ใน 4 เขตทั้งจ.ตรังเขต 3 น่าจะหาเสียงได้เบาที่สุด ส่วนเขต 4 นั้น นายกาญจน์ ก็อาจจะมีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองกันตัง แต่ในบริเวณด้านนอกส่วนใหญ่แกนนำของเราจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต. ท้องถิ่นที่เข้ามาช่วย ซึ่งถือว่าส่วนใหญ่ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่จะเข้ามาช่วยเหลือดูแลพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมากกว่าพรรคอื่นๆ

“ส่วนคู่แข่งที่ดูสูสีหน่อยในเขต 4 ก็น่าจะเป็น จากพรรคภูมิใจไทย คือ นายดิษฐ์ธนิน ภาคย์อิชณน์(หลายชายนายสมชายเอง) เพราะเขาได้เดินหาเสียงมาก่อนหลายเดือนแล้ว ซึ่งคาดว่ายังมีโอกาสที่จะชนะกันทั้งสองฝ่าย ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ผมถือว่าคะแนนยังสูสีกันอยู่ และคิดว่าน่าจะมีแค่พรรคภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์เท่านั้น พรรคอื่นน่าจะยาก ส่วนเรื่องของผมกับ นายดิษฐ์ธนิน นั้น ก็ยังมีความสัมพันธ์เป็นลุงกับหลานเหมือนเดิม ความเป็นหลานหนีไปไหนไม่ได้ แต่ผมก็ยังสนับสนุน นายกาญจน์ เหมือนเดิม เพราะผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนหลายคนที่เสนอชื่อนายกาญจน์ ในการทำโพลขึ้นมา”นายสมชายระบุ

ส่วนกระแสข่าวได้รับการมอบหมายจากนายกิจ หลีกภัย อดีตนายกอบจ.ตรัง พี่ชายนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้ช่วยดูแล นพ.ตุลกานต์ มักคุ้น ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ตรังเขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ นั้น นายสมชายกล่าวว่า ขอเรียนให้ทราบก่อนว่าในช่วงแรก นายกิจ และนายระลึก หลีกภัย ให้ช่วยเฟ้นหาผู้สมัครมาลง ซึ่งตนก็เป็นคนนำเสนอน.พ.ตุลกานต์ แต่ว่าช่วงหลังพอการเมืองเริ่มเข้มข้นมากขึ้น ตนคิดว่าภาระตนหนัก ถ้าไปช่วยทั้ง 3 เขตจะหนัก ขอเอา 2 เขตให้ผ่านก่อนก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่ถ้าเป็นทั้ง 3 เขตค่อนข้างหนัก กลัวจะเกิดปัญหาทีหลัง ตนเลยมอบเขตนี้ให้นายกิจ และนายระลึก เข้าดูแล ส่วนตนดูแลแค่ 2 เขต ส่วนสถานการณ์การแข่งขันในเขตที่ 1 นั้นมีการต่อสู้ 3-4 พรรคเลย เพราะเขตนั้นเคยเป็นเขตที่เราเสียที่นั่งในรอบที่แล้ว ทำให้หลายพรรคจ้องกัน โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐคือนายกิตติพงศ์ ผลประยูร ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต1 เดินหาเสียงก่อนนานแล้ว และยังมี น.พ.รักษ์ บุญเจริญ ว่าที่ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย และอีกคนนายถนอมพงษ์ หลีกภัย รองนายกเทศมนตรีนครตรังที่จะลงสมัครในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ และก็ยังมีอัยการอีกคนหนึ่ง แต่ข่าววงในบอกว่าน่าจะเป็นนายถนอมพงษ์ ก็น่าจะ 4 พรรคนี้ ซึ่งตอนนี้ยังมองไม่ออก คะแนนยังสูสีกัน ต้องเดินหาเสียงกันพอสมควร ยอมรับเลยว่าเขต 1 เป็นการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ต้องอยู่ที่ว่าผู้สมัครแต่ละเขตมีความขยันมากน้อยแค่ไหน และเครือข่ายทีมงานทำงานได้ผลมากน้อยแค่ไหน น่าจะเป็นตัวชี้ขาดมากกว่า

นายสมชายกล่าวต่อว่า ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 2 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรังเขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ ที่ตนได้เคยจัดเวทีรวมพลคนไม่เอาสาทิตย์ เคยจัดไปแล้ว 3 ครั้ง ยังเหลือครั้งที่ 4 ที่ประกาศว่าจะจัดแต่ยังไม่ได้จัด เนื่องจากเกิดมีการเลือกตั้งซ่อมสจ. และในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ก็ยังไม่ได้จัดจนมาถึงปัจจุบันนี้ แต่หัวใจยังเหมือนเดิม และหากให้ประเมิน นายสาทิตย์ กับ นายทวี สุระบาล ว่าที่ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ คิดว่าคะแนนสูสี ซึ่งนายสาทิตย์มีมวลชนอยู่ชุดเดิม แต่เดี๋ยวนี้นายทวี จะได้ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ จะไปช่วยนายทวีฯทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายกอบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะตามนายทวีเยอะ คู่นี้ถือว่าน่าติดตามมาก หากเป็นมวยถือว่าคู่นี้มันส์สุดในจ.ตรัง

“สนามเลือกตั้งตรังครั้งนี้ คิดว่าน่าจะมีเรื่องของเงินเข้ามาเยอะพอสมควร พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องพยายามเตรียมตัวกับเรื่องนี้ เพราะของเราเขาเรียกการเมืองสุจริต คำว่าสุจริตจะต้องเดินให้ถึง เดินให้มาก ซึ่งในแต่ละเขตเลือกตั้งจะมีอย่างน้อย 20,000 คะแนนที่เป็นฐาน เดี๋ยวนี้มีผู้สูงอายุเยอะ คนอายุ 50 ปีขึ้นไป ผมเชื่อว่ายังใส่พรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นข้อได้เปรียบ ก็ถือได้เท่ากับว่าประชาธิปัตย์เริ่มจาก 20,000 คะแนน แต่คนอื่นเริ่มจาก 1 คะแนน นี่คือความได้เปรียบ เพราะคนเก่าคนแก่ที่ยังตัดไม่ได้ยังมีอีกเยอะ และบารมีของนายชวน ที่เคยสร้างไว้ยังคงมีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะหมดไป” นายสมชายกล่าว

นายสมชายกล่าวอีกว่า การเลือกตั้งส.ส.ครั้งนี้จะกระทบถึงท้องถิ่น เพราะผู้นำท้องถิ่นในแต่ละเขต คนนั้นจะไปพรรคภูมิใจไทย อีกคนจะไปพรรคพลังประชารัฐ นายกอบต.แยกกันหมดเลย คิดว่าเที่ยวนี้จะสร้างผลสะเทือนต่อการเมืองท้องถิ่นของจังหวัดในอนาคตอีกมาก เพราะไปกันหมดหลายสาย ไม่เคยมีมาก่อน เพราะปกติจะมีเพียงแค่ 2 พรรคแข่งกัน เดี๋ยวนี้แข่งกัน 4-5 พรรค แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกให้โอกาสประชาชนได้เลือกบ้าง ได้มีการตัดสินใจมากขึ้น ใครชอบแนวไหนแบบไหน เป็นส่วนที่ดี ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์

“แต่เราต้องมองด้วยใจเป็นธรรม จริงอยู่พรรคประชาธิปัตย์เคยครองมานานหลายปี แต่วันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องไปซีเรียสอะไร และก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีหลายพรรค เพราะว่าลึก ๆ จริงๆพรรคประชาธิปัตย์ภายในก็ไม่ได้มีการกลมเกลียวกัน ตั้งแต่การเลือกตั้งนายกอบจ.ตรัง มีการแตกแยกกันเกิดขึ้น ทีนี้การที่จะหนุนช่วยซึ่งกันและกันมันไม่มี เขตใครเขตมัน พาตัวเองให้รอดก็ถือว่าบุญแล้ว ในขณะที่หลายฝ่ายพยายามรุมเข้ามา แต่ถ้าเราสามัคคีกันไม่แตกกัน จ.ตรังนั้นพรรคอื่นเข้ามากินก็ยาก และพวกที่ห้อยโหนไปเป็นผู้แทนพอได้แล้ว หมดยุคแล้วไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา พอแพ้ก็วิ่งหนีหาย ทิ้งปัญหาไว้ข้างหลัง มันเป็นอย่างนี้เพราะเราได้มาง่ายเกินไป อดีตได้มาง่ายเกินไป จึงทำให้คนที่เป็นผู้แทน ไม่ลงพื้นที่ไม่เข้าไปดูแลชาวบ้าน เพราะนึกว่าเที่ยวหน้าลงสมัครก็จะได้อีก แต่วันนี้มันเปลี่ยนแปลง”นายสมชายกล่าว

ส่วนเรื่องกระแสพรรคที่มองกันว่าตกต่ำลงและมีคนย้ายออกนั้น นายสมชายกล่าวว่า ที่แยกไปส่วนใหญ่คือ 1.สอบตก ไม่ผ่านด่านครั้งที่แล้ว ถือว่าไม่ผ่านที่พรรคแล้ว 2.พออยู่บัญชีรายชื่อก็ย้ายไป 3.ส่วนมากรู้ตัวชัดเจนว่าพรรคไม่ส่งแล้วส่วนใหญ่ก็ไปกัน แต่คนที่ออกจากพรรคไปและน่าชื่นชมที่สุดก็คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ไม่เคยหันหลังกลับมาด่าพรรคแม้แต่ครั้งเดียว คนนี้น่านับถือมาก ออกจากพรรคไปนานแล้วไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ สุดยอด แต่บางคนออกไปไม่กี่วันก็กลับมาด่าพรรคเละเทะหมดแล้ว แต่ตนเชื่อว่าส.ส.ประชาธิปัตย์ทั่วประเทศก็ยังได้คะแนนมากกว่าเดิม ได้มากกว่า 52 ที่นั่ง ด้วยศักยภาพของผู้บริหารพรรค หากได้น้อยกว่าเดิม นายเฉลิมชัย ต้องเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิตตามเคยแถลงเอาไว้แล้ว ซึ่งไม่เคยมีใครพูดเช่นนี้ ส่วนที่นายชวน บอกว่าคนที่ย้ายออกไปไม่จริงใจ คบไม่ได้นั้น เป็นความคิดของนายชวน ตนไม่ขอวิจารณ์ แต่การไปๆมาๆมันเป็นเรื่องปกติของการการโยกไปย้ายมา แต่จะมีผลประโยชน์หรือไม่เราไม่รู้ มีแต่ข่าว เหมือนสภาผู้แทนชุดนี้มีข่าวเรื่องกล้วยเยอะในสภา แต่สมัยตนไม่มี ข่าวออกมามีกล้วยตั้งหลายหวี 5 หวี 4 หวี แต่ดูเป็นเรื่องปกติกัน แต่สมัยเราไม่มีเลย ถือได้ว่าการเมืองเริ่มแย่ลงมากและยิ่งแย่ไปข้างหน้า เป็นการสู้ด้วยเงินกันจริงๆ และเราก็อยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องพยายามรักษาฐานที่มั่นให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น1-2-3 หรือ 4 ช่วงนี้บอกตรง ๆไม่มั่นใจ ออกได้ทุกหน้า

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน