X

ครป. ชำแหละ 7 ปี รัฐบาลประยุทธ์ พาชาติติดหล่ม! ล้มเหลว ก่อหนี้มากกว่าทุกรัฐบาล

กรุงเทพฯ – ครป. จัดเวทีถล่ม! 7 ปีรัฐบาลประยุทธ์ สร้าง ‘เผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ’ บริหารประเทศล้มเหลว เศรษฐกิจพัง ก่อหนี้มหาศาล เตือน 3 ป. อย่าซ้ำรอยรัฐบาล ถนอม-ณรงค์-ประภาส ชี้ ทางออกทางเดียว คือ พลเอกประยุทธ์ ลาออก   

วันที่ 28 มีนาคม 2564 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดเวทีชำแหละ ‘7 ปี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พาชาติติดหล่ม’ โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป., รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร, นายกษิต ภิรมย์, นางสาวรสนา โตสิตระกูล, พ.ต.อ.วิรุฒน์ ศิริสวัสดิบุตร, นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ และนายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. ร่วมอภิปราย

รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป. ระบุว่า พัฒนาการของประเทศหมุนทวนกลับไป รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้โครงสร้างอำนาจของ ส.ว. สืบทอดอำนาจตนเอง เหมือนกับในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2521 ทำให้การเมืองไทยย้อนหลังกลับไป 40 ปี กลายเป็นการเมืองย้อนยุค ที่ให้อำนาจ ส.ว.กำหนดอำนาจการบริหารประเทศ

ระบอบ 3 ป. ถือเป็นระบบการเมืองแบบคณาธิปไตยในทางสากล ที่คอยชี้นำและกำหนดอนาคตประเทศรูปแบบเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์ กวาดเอาความปรารถนาของสังคมไป ให้เหลือเพียงความปรารถนาของ 3 ป.เท่านั้น พรรคพลังประชารัฐก็กลายเป็นพรรคที่บริหารสไตล์มาเฟีย ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ไม่คำนึงถึงความสามารถของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี

“ระบอบประยุทธ์ร้ายแรงกว่าระบอบทักษิณ และสร้าง ‘เผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ’ ขึ้นมา ไม่มีกลไกตรวจสอบอำนาจ และปิดปากประชาชน ร้ายแรงที่สุดคือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่ประสงค์ให้มีการแก้ไขเหมือนกับที่แถลงนโยบาย รัฐบาลทำตัวเหมือนเรือขวางคลองสุเอส ขัดขวางกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกรูปแบบ จนเกิดการเมืองต่างขั้วแบบใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น สร้างความแตกแยกในสังคมร้าวลึกลงถึงระดับครอบครัว” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

ด้าน รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร อาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงเศรษฐกิจติดหล่มว่า ประเทศไทยมาถึงทางแพร่งสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว แต่เศรษฐกิจไม่ดีขึ้นเลย แต่กลับติดหล่ม ฝืดเคือง ต่อไปคนจะตกงานอีกหลายแสนคน และจะเป็นระเบิดเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ เพราะม็อบตกงานจะเกิดขึ้นและทำลายความเชื่อมั่นของประเทศ หล่มต่อไปคือหล่มความเหลื่อมล้ำ คนไทยกลุ่มมั่งคั่งรวยสุดเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ สะสมความมั่งคั่งกว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซึมลึกและจะนำมาสู่ความขัดแย้ง รวมถึงหล่มหนี้สินและหนี้เสียของประเทศ ที่อาจจะถึงขั้นล้มละลาย

หล่มหายนะที่สุด คือ หล่มการคลังและหนี้สาธารณะ จะกระทบต่อคนไทยอีกเป็น 10 ปี และทำลายสังคมให้หายนะที่สุด คนชั้นกลางและคนชั้นล่างได้รับผลกระทบหนัก คนชั้นกลางกว่า 4 ล้านคนที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว จะกลายเป็นคนจนรุ่นใหม่ เพราะรัฐบาลหลงผิดติดกับดักรายได้ปานกลางที่เป็นแนวทางที่ผิดพลาด ใกล้อวสานรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์แล้ว เพราะจะมีการรีดภาษีชนชั้นกลาง ก่อปัญหาหนี้สินมากมาย

“รัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดิน 20 ล้านล้านบาท 7 ปีทำประเทศขาดทุนกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา สร้างหนี้มหาศาลแต่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยมาก และส่วนมากผันรายได้ไปสู่มือของกลุ่มทุนข้างบนต่างๆ ในท้ายที่สุด”

ส่วนนายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลประยุทธ์ชวนฝันคุยโม้ มอบประเทศให้สองสามครอบครัวครอบงำเศรษฐกิจประเทศจนไม่มีการแข่งขัน ทำโครงการประชานิยม แต่มีการทุจริตคอร์รัปชันร่วมกันโกงกินมหาศาล โกงกินชาติบ้านเมืองอย่างมโหฬาร อยากเชิญชวนทุกท่านหันมาร่วมกันต่อต้าน หยุดสนับสนุนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพราะโครงการของรัฐและเศรษฐกิจไปไม่ได้แล้ว ต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ รีเทรนนิ่ง สร้างงานภายในประเทศ ที่ใช้ฝีมือและเทคโนโลยีมากขึ้น พัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ส่งเสริมวิจัยดิจิตอลและเทคโนโลยีต่าง ๆ มากขึ้น

ขณะที่ นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. ชี้ว่า การให้เอกชนสัมปทานพลังงาน น้ำมัน ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ทำให้เกิดความร่ำรวยอย่างมหาศาลแก่คนรวยไม่กี่กลุ่ม ล่าสุดการให้สัมปทานเหมืองแร่เป็นแสนไร่ แต่ทำให้ประชาชนรอบข้างได้รับผลกระทบจำนวนมาก 7 ปีมีการถ่ายโอนทรัพยากรต่าง ๆ มีอย่างมหาศาลของส่วนรวมไปสู่กลุ่มทุน เกิดโครงสร้างการผูกขาดอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ และจับมือกลุ่มทุนผูกขาดทางเศรษฐกิจ จนยุคนี้มีการผูกขาดอำนาจทางรัฐสภาเบ็ดเสร็จ รวมถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย ทำให้มองไม่เห็นกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล

พ.ต.อ.วิรุฒน์ ศิริสวัสดิบุตร เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ กล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมติดหล่ม และถอยหลังลงคลอง มักจะจับผู้ร้ายตัวจริงไม่ได้ เพราะมีการยกฟ้องตลอดสำหรับคนรวย มีคนตกเป็นแพะมากมาย การปฏิรูปตำรวจยังคงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทางออก คือ จะต้องกระจายอำนาจตำรวจ ไปขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัด และกทม.

นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ รองประธาน ครป. เปิดเผยว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยตกต่ำมากไม่ต่างจากพม่า รัฐบาลไทยทำหลายสิ่งที่ถือเป็นการสนับสนุนกองทัพพม่าปราบปรามประชาชน 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ยืนคร่อมแผนสิทธิมนุษยชน 2 ฉบับ แต่สิทธิมนุษยชนกลับไม่ได้รับการเคารพและใส่ใจ การไม่ทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังทำไม่ได้เหมือนอย่างนโยบาย ประเทศไทยจะเหมือนพม่า ที่ประชาชนลุกขึ้นมาทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันต่อสู้กับเผด็จการที่ไม่เห็นหัวประชาชน ถ้าพล.อ.ประยุทธ ไม่ลาออกอย่างสง่างาม เหมือนพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็คงพบจุดจบเหมือนพม่า

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. ชี้ว่า รัฐบาล 3 นายพลจะต้องตระหนัก และไม่นำประเทศไทยไปติดหล่มแห่งความรุนแรงอีก เพราะไม่อย่างนั้นนายพลทั้ง 3 ป. จะไม่ต่างจาก 3 ทรราชย์ในสมัยก่อน ซ้ำรอยรัฐบาลถนอม ณรงค์ ประภาส เพราะการสืบทอดอำนาจโดยรัฐธรรมนูญก็เหมือนการรัฐประหารตนเอง รวบอำนาจกลไกตรวจสอบและกลไกราชการไว้ในมือตนเองแบบเบ็ดเสร็จ

รัฐบาลสร้างรัฐและทุนให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน เกิดความเหลื่อมล้ำสูงสุด ดูตัวอย่างเมกะโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ที่เอื้อกลุ่มทุน งบประมาณแผ่นดินปีละ 3 ล้านล้านบาท ถูกโยกย้ายถ่ายโอนให้กลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มร่ำรวยแบบก้าวกระโดด

สรุปประเทศไทยติดหล่ม พล.อ.ประยุทธ์และพวก ในนามรัฐบาลของ 3 นายพลที่ติดหล่มอำนาจนิยม ออกแบบการเมืองให้ติดหล่มรัฐธรรมนูญที่วางกับดักไว้หลายชั้น ทำให้ 7 ปีชาติติดหล่มไม่มีทางออก ทางออกของประเทศไทยจากหล่มนี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกไป แล้วกระจายอำนาจการปกครองและเศรษฐกิจ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กระจายอำนาจตำรวจ ปฏิรูปกองทัพและร่างรัฐธรรมนูญออกแบบการเมืองใหม่ร่วมกัน

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ลักขณา สุริยงค์

ลักขณา สุริยงค์

ทำหน้าที่สื่อมวลชนมาเกือบ 30 ปี ทั้งงานสายข่าวและจัดรายการทีวี-วิทยุมานับไม่ถ้วน "ไม่เป็นกลาง แต่เป็นธรรม พร้อมนำเสนอความจริง"