X

คนงานบ้านทรงไทย เผยนาทีเฉียดตายเหตุพายุคลั่งถล่มเมือง

นครพนม – คนงานบ้านทรงไทย เผยนาทีเฉียดตายเหตุพายุคลั่งถล่มเมือง พระธาตุทับเงาอายุ 2,000 ปี ยอดทองคำพังเสียหาย

กรณี พายุฤดูร้อนพัดถล่มเมืองนครพนม เมื่อคืนวันที่ 21 เมษายน 2563 โดยทิศทางมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเหตุให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่แถบริมแม่น้ำโขง ได้รับความเสียหายหลายแห่ง และเมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. วันเดียวกัน ลมพายุที่พัดอย่างบ้าคลั่งไปซัดบ้านทรงไทยที่กำลังก่อสร้างอยู่บ้านภูเขาทอง หมู่ 12 ต.หนองญาติ พังถล่มลงมา โดยมีผู้เสียชีวิตเป็นชาย ทราบภายหลังว่าชื่อ น้องมาร์คเกอร์ อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนบ้านนางัว ต.นางัว อ.นาหว้า จ.นครพนม ถูกคานไม้ทับที่ศีรษะและหลัง นอนคว่ำหน้าตายคาซาก เจ้าหน้าที่กู้ภัยศรีสัตตนครพนม และกู้ภัยวีอาร์ลำโขงเฟรนด์ชิฟ ต้องมุดเข้าไปนำร่างของผู้เสียชีวิตออกมาอย่างทุลักทุเล ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

ล่าสุด วันที่ 22 เมษายน 2563 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ที่เกิดเหตุอีกครั้ง พบกับนายเจษฎา นครังสุ อายุ 45 ปี ทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง อยู่บ้านเลขที่ 259 หมู่ 1 ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม รับเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว โดยซื้อที่ดินว่างเปล่ามาในราคา 500,000 บาท และได้ว่าจ้างช่างรับเหมามาขึ้นโครงสร้างบ้าน ลักษณะยกพื้นสูง ใช้เสาปูนจำนวน 9 ต้น ด้านบนเป็นไม้ประดู่ทั้งหมด งานเสร็จไปแล้วเกือบ 100 % เหลือเก็บรายละเอียดเท่านั้น ก็ต้องมาเจอเหตุการณ์พายุถล่มจนพังมาทั้งหลัง ค่าเสียหายประมาณ 7 แสนบาท

ขณะเดียวกันมีเจ้าหน้าที่จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรนงงาน สำนักงานจังหวัดนครพนม เดินทางมาสอบถามรายละเอียด โดยมีนายกิตติธัช นาโควงศ์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 174 หมู่ 8 ต.นางัว ให้ปากคำเบื้องต้นว่างานโครงสร้างไม่ทราบว่าใครเป็นผู้รับเหมา ตนเข้ามาเป็นชุดงานไม้เท่านั้น มีคนงานทั้งหมด 3 คน แต่ต่อมาโรงเรียนปิดเทอมใหญ่หลานชายจึงชวนเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันมาหารายได้พิเศษอีก 3 คน รวมเป็น 6 คน คืนวันเกิดเหตุพวกผู้ใหญ่อยู่บนบ้าน ส่วนเด็กๆกำลังหุงหาอาหารอยู่ใต้ถุน

นายนครชัย นาโควงศ์ อายุ 43 ปี และ นายเดชา รินทะ อายุ 46 ปี คนงานที่อยู่ในเหตุการณ์ร่วมกันเล่านาทีเฉียดตาย ว่า มีลมพายุพัดมาทางทิศตะวันออก ไฟฟ้าดับหมดทั้งเมือง ตนจึงตะโกนบอกเด็กที่อยู่รวมกันด้านล่างระวังด้วย เพราะลมมันพัดแรงน่ากลัวมาก พูดจบไม่ทันถึง 3 นาที ตัวบ้านก็เอนไม่ทางฝั่งซ้ายในชั่วพริบตา โดยไม่มีสัญญาณเตือนทั้งสิ้น พวกผู้ใหญ่ก็กลิ้งมาตามแรงเทเอียง ตั้งสติลุกขึ้นตะโกนเรียกเด็กทั้งสามไม่มีเสียงตอบรับ จึงใช้ไฟฉายส่องหาพบเด็กสองคนนั่งตัวสั่นเทาอยู่ที่บ้านหลังใกล้เคียงที่กำลังก่อสร้างเช่นเดียวกัน ถามหาน้องมาร์คเกอร์อยู่ไหน เด็กชี้ไปที่ซากตัวบ้านว่าอยู่ข้างใน ตนจึงส่องหาจนพบร่างน้องนอนคว่ำหน้าอยู่ใต้คานไม้ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบรับ จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พบกับนางพวง (นามสมมุติ) คนในละแวกนั้น กล่าวว่ามีอาชีพเลี้ยงสัตว์ทุกวันจะนำควายมาเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ บ้านทรงไทยหลังนี้ประจำ เห็นตั้งแต่เริ่มถมที่และฝังเสาปูน รู้สึกการสร้างฐานล่างจะไม่แน่นหนา จึงเป็นห่วงด้านความปลอดภัย ตนได้ไปบอกกับช่างที่ขึ้นโครงสร้างบ้าน ว่า น่าจะลงเสาปูนให้ลึกกว่าปกติแต่ไม่มีใครฟัง กระทั่งเกิดเหตุสลด เพราะโครงสร้างบ้านฐานล่างไม่ได้ยึดโยงกัน คานไม่ได้เทและเสาปูนก็ฝังลงไปแค่เมตรเดียว ขณะที่ดินถมสูงประมาณ 1.50 เมตร ความมั่นคงจึงไม่มี ความแน่นหนาของดินยังอ่อนตัวอยู่ เนื่องจากมีการถมที่เมื่อเดือนกันยายน 2562 ลงเสาปูนขนาดความสูง 3 เมตร ในเดือนพฤศจิกายน และฝังเสาไม่ถึงพื้นดินเดิม อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งในการพังถล่มของบ้าน

ในเวลาต่อมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครพนม นำโดย พ.ต.ท.คำดี เฮียงบุญ รอง ผกก.สอบสวน นำเจ้าหน้าที่ชุดจิตอาสา จำนวน 29 นาย เข้าทำการช่วยเหลือบ้านหลังดังกล่าว และตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนด้านการสอบสวนเบื้องต้นจะเชิญเจ้าของบ้านและผู้รับเหมามาให้ปากคำ

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เวลา 20.30 น. ร.ต.อ.อภิชา วงศ์เวียน รอง สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองนครพนม รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า มีเหตุบ้านพังถล่มจากพายุฤดูร้อน อยู่หลังคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม เดิมเป็นทุ่งนาห่างจากถนนคอนกรีตในหมู่บ้าน 50 เมตร พบบ้านไม้ทรงไทยยังไม่มีเลขที่ อยู่ระหว่างสร้างใหม่พังครืนถล่มลง ใต้ซากบ้านพบศพนายมาร์คเกอร์ นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนบ้านนางัว ต.นางัว สภาพนอนตะแคง สวมเสื้อยืดกีฬาแขนสั้นสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีดำ ถูกคานบ้านและเสาทับเสียชีวิตคาที่ นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกสองคน ชื่อนายพีระภัทร นาโควงศ์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนบ้านนางัว และนายทัศนชัย วะเกิดแป้ม อายุ 14 ปี หลังทำบาดแผลเสร็จแพทยือนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วนศพน้องมาร์คเกอร์ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผลจากพายุฤดูร้อนพัดถล่มเมืองนครพนม ยังทำให้ยอดพระธาตุสำราญ หรือพระธาตุทับเงา ซึ่งเป็นพระธาตุเก่าแก่ มีอายุประมาณ 2,000 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงบ้านสำราญหมู่ 2 ต.อาจสามารถ อ.เมือง พังลงมาได้รับความเสียหาย และยังมีต้นไม้หักโค่นทับรถยนต์ของชาวบ้านอีก 1 คัน ส่วนในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ศาลาแสงสิงแก้วที่อยู่ริมแม่น้ำโขงเช่นกัน ตรงข้ามกับวัดพระอินทร์แปลง หลังคาถูกลมพัดพังยับเยิน เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.ฯ) เร่งระดมคนเข้าช่วยเหลือและซ่อมแซมเบื้องต้นแล้ว

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน