X

‘บิ๊กตู่-ฮุนเซน’จับมือกันแน่น!! เปิดสะพานมิตรภาพ-นั่งขบวนรถไฟไทย-กัมพูชา

สระแก้ว – นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชา ร่วมพิธีฉลองความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ขอให้ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทย รักทุกคน ขอให้เอาความรักความสามัคคีกลับคืนมา เชื่อสะพานจะเพิ่มความสะดวกในการเดินทางสัญจร และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ด้วย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน 4กด-29 กทม.ในการเดินทางร่วมพิธีต่าง ๆ ในพื้นที่ จ.สระแก้ว และฝั่งปอยเปตด้วย พร้อมระบุช่วงท้ายว่า นายกฯฮุนเซน ยืนยันจะไม่ให้ใครใช้ดินแดนกัมพูชาเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.62 ที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท) ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เป็นประธานร่วมกันเทคอนกรีตเชื่อมพื้นสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา และกดปุ่มเปิดผ้าแพรคลุมป้ายชื่อสะพานบริเวณกึ่งกลางสะพาน เพื่อฉลองความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานฯ โดยระหว่างทำพิธีฯพบว่า นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศต่างจับมือกันแน่น ซึ่งหลังเสร็จพิธี นายกรัฐมนตรี ได้เดินพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ ประมาณ 10,000 คน โดยประชาชนที่มาให้การต้อนรับบอกให้นายกรัฐมนตรีว่า สู้ ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกขอให้สู้ร่วมกัน สู้กับความเดือดร้อน และเภทภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมบอกรักทุกคนและขอส่งใจให้ทุกคน แต่ขอให้เอาความรักความสามัคคีกลับคืนมา

พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวขอบคุณกำลังใจจากประชาชนที่มาให้การต้อนรับ พร้อมบอกว่า ขอให้ช่วยกันดูเรื่องปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงแรงงานหลบหนีผิดกฎหมาย พร้อมกับฝากให้ข้าราชการท้องถิ่นพัฒนาตัวเอง ทำงานเพื่อประชาชนให้มากขึ้น ทั้งนี้ ประชาชนต้องเรียนรู้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการค้าขาย ขอให้เพิ่มช่องทางการค้าขายสินค้าออนไลน์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อ สร้างจุดขายเพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายสินค้า

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประเทศไทยต้องขับเคลื่อนด้วยคนทุกช่วงวัย ที่สำคัญต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คนไทยต้องมีความรักความสามัคคี มีความเคารพผู้ใหญ่ อย่าให้ใครมาเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ประเทศไทยต้องสงบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไทยทุกคน ในส่วนของรัฐบาล ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงการดำเนินโครงการที่สำคัญต่าง ๆ อาจต้องใช้เวลาในการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว รัฐบาลก็ได้ทำเพื่อประชาชนหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทางสัญจร และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ด้วย

ภายหลังเสร็จพิธีฉลองความสำเร็จและเปิดสะพาน พล.อ.ประยุทธ์และสมเด็จฯฮุนเซน ได้เดินทางต่อไปยัง สถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ติดกับด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก เพื่อเปิดป้ายสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พิธีส่งมอบรถไฟดีเซลราง โดยมีคณะรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเข้าร่วม


โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวยินดีในการเข้าร่วม 3 พิธีที่สำคัญ ซึ่งพิธีในวันนี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ ความมุ่งมั่น ของรัฐบาลไทย ที่พร้อมจะสนับสนุน และผลักดันความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อทางรถไฟให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่ 1. ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสะท้อนได้จากการเปิดสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ระหว่างอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย 2. ความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ โดยเห็นได้จากพิธีลงนามความตกลงว่าด้วยการเดินทางรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชาอาณาจักรกัมพูชา และ 3. ความเชื่อมโยงในการไปมาหาสู่กันของประชาชน

ดังนั้น รัฐบาลไทยยินดีมอบรถดีเซลราง จำนวน 1 ขบวน 4 โบกี้ แก่รัฐบาลกัมพูชา เพื่อสนับสนุนการคมนาคมทางรางข้ามแดนไปมาหาสู่กันระหว่างชาวไทยกับชาวกัมพูชา รวมถึงชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการเดินทางจากสถานีด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ข้ามไปยังปอยเปต ศรีโสภณ พระตะบอง จนกระทั่งถึงกรุงพนมเปญ เพื่อแบ่งปันและสร้างโอกาสในการเชื่อมต่อโครงข่ายทางรถไฟ และแสดงถึงความจริงใจในโอกาสที่ไทยกับกัมพูชา จะครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2563

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคมนาคมขนส่งทางรางระหว่างไทยกับกัมพูชา ผ่านการเชื่อมโยงโครงข่ายเส้นทางรถไฟขนาดความกว้างทาง 1 เมตร โดยไทยพร้อมจะพัฒนาไปสู่เป้าหมายในทุกด้านและยั่งยืน เพื่อสนับสนุนด้านการขนส่งทางรถไฟ การค้าชายแดน การท่องเที่ยว โอกาสทางด้านธุรกิจ และการลงทุนของไทยและกัมพูชา ระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงโครงข่ายทางรถไฟภายใต้กรอบความร่วมมือ ได้แก่ การพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS ) โครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง (SKRL) ตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (MPAC) และโครงข่ายทางรถไฟสายเอเชีย ภายใต้โครงการของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ

“ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อมวลชน สำหรับความมุ่งมั่นตั้งใจทำให้เกิดพิธีสำคัญขึ้น จึงถือว่าเป็นการมอบของขวัญในเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความปรารถนาดี การริเริ่มสิ่งใหม่ ให้กับชาวไทย-กัมพูชา รวมถึงประชาคมอาเซียน เพื่อรับมือกับความท้าทาย และก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังเสร็จพิธีลงนามฯ นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และคณะบุคคลสำคัญ ได้ขึ้นรถไฟขบวนเที่ยวพิเศษปฐมฤกษ์ ขบวนที่ 1038 โบกี้ที่ 40 เดินทางออกจากด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ไปยัง สถานีปอยเปต อ.โอวโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ระยะทางประมาณ 2 กม. ซึ่งตลอดเส้นทางมีเจ้าหน้าที่ดูความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยที่สถานีรถไฟปอยเปต มีชาวกัมพูชามายืนโบกธงชาติกัมพูชารอต้อนรับจำนวนหนึ่ง หลังพบปะประชาชนคนกัมพูชาที่สถานีรถไฟเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยที่โรงแรมอินโดจีน ด้วยรถยนต์เบนซ์ S600 สีดำ หมายเลขทะเบียน 4กด-29 กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน เป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ภายหลังเสร็จสิ้นการส่งมอบขบวนรถไฟดังกล่าว

นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวภายหลังรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับสมเด็จฯฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทยเป็นอย่างดี ซึ่งตลอด 30 ปีที่ดำรงตำแหน่งและทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย 12 รัฐบาล 12 นายกรัฐมนตรี ถือได้ว่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันดีที่สุด พร้อมยืนยันจะไม่ยอมให้ใครใช้ดินแดนกัมพูชา มาเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลไทย และยังอวยพรให้นายกรัฐมนตรีได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อสืบสานงานต่อไป โดยมองในมิติของความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำให้ประชาชนของทั้งสองประเทศ ไม่เสียโอกาสในการพัฒนาร่วมกัน พร้อมบอกด้วยว่าช่วงนี้อากาศร้อนก็ขอให้ใจเย็น อย่าสร้างความขัดแย้งเพิ่ม ทุกวันนี้ยังพบเห็นความเกลียดชังคุกรุ่นอยู่ใน Social Media

สำหรับประเด็นที่ผู้สื่อข่าวสอบถาม กรณีศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษา ส่งผลให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ คืนเงินชดเชยให้กับบริษัทโฮปเวลล์จากการบอกเลิกสัญญา รวมเป็นเงิน 11,888 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมถึงค่าธรรมเนียมศาล ภายใน 180 วัน นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองกันอยู่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐบาลอื่น แต่รัฐบาลปัจุบันก็ต้องแก้ไขปัญหา ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ได้แก้ไขแล้ว ทั้งการใช้มาตรา 44 มาช่วยแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากหากปล่อยไว้ก็จะเป็นปัญหาสะสม ที่ทำให้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีมากขึ้น ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาแต่ก็ยังถูกต่อว่า หากไม่แก้ไขก็จะยิ่งไปกันใหญ่

——————————–

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"