X

ร้องกัมพูชารุกล้ำเส้น MOU!! นอภ.นัดพูดคุยกรณีพิพาทปัญหาที่ดินแนวชายแดนป่าไร่ จ.สระแก้ว 17 มิ.ย.นี้

สระแก้ว – นายอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทำหนังสือส่งถึงชาวบ้านเพื่อนัดพูดคุย กรณีพิพาทปัญหาที่ดินแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 17 มิ.ย.นี้ หลังพบว่า ชาวบ้านในประเทศกัมพูชาเข้ามาอาศัยและทำกินรุกล้ำพื้นที่เขตแดนระหว่างประเทศ หรือเส้น MOU พื้นที่ ม.8 บ้านป่าใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากปัญหาถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปทำกินในที่ดินเอกสารสิทธิ์ น.ส.2 ของบรรพบุรุษจากเจ้าหน้าที่ไทยและ ตชด.กัมพูชา บริเวณพื้นที่ริมถนนศรีเพ็ญ ทางหลวงหมายเลข 3446 ม.8 บ้านป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กระทั่งมีการร้องทุกข์ไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว และสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา นายชนาธิป โคกมณี นายอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้ทำหนังสือจากศูนย์ดำรงธรรมอำเภอฯ ที่ สก.0218.1/2504 เรื่อง ขอเชิญประชุมแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ดิน ส่งไปยัง นายสุเทพ แนนน้อย ระบุว่า ด้วยศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสระแก้ว ได้รับแจ้งจากระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีนายสุเทพ แนนน้อย ขอให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการเข้ามาอาศัยและทำกินรุกล้ำพื้นที่เขตแดนระหว่างประเทศ ของกลุ่มประชาชนจากประเทศกัมพูชา บริเวณหมู่บ้านน้อยป่าไร่ หมู่ที่ 8 ตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

ทั้งนี้ สำหรับจุดพื้นที่ดังกล่าว ตั้งอยู่ติดชายแดนประเทศกัมพูชา ห่างจากถนนศรีเพ็ญ ประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับสถานที่ก่อสร้างด่านศุลกากรแห่งใหม่ ปัจจุบันยังไม่มีชื่อด่าน และห่างจากตลาดชายแดนบ้านคลองลึกหรือตลาดโรงเกลือ ระยะประมาณ 7-8 กิโลเมตร โดยบรรพบุรุษของผู้ร้องและเพื่อนบ้าน รวม 5 ครอบครัว เป็นเจ้าของที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ประเภท น.ส.2 ส่วนชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่เคยอยู่ในพื้นที่นั้น ทำกินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งประเทศไทยเคยเกิดเหตุพิพาทเรื่องเขตแดนกับประเทศกัมพูชา ประเทศไทยและกัมพูชาได้ตกลง MOU โดยกำหนดเส้นหลักเขตแดนพิพาท ซึ่งห้ามไม่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าไปในพื้นที่ แต่มีกลุ่มประชาชนจากประเทศกัมพูชาจำนวนมาก ฝ่าฝืนบุกรุกข้ามเส้นหลักเขตแดนพิพาท เข้ามายืดพื้นที่ ทำกินในเขตหมู่บ้านน้อยป่าไร่(เดิม) มีการถางป่าและสร้างบ้านพักอาศัยอย่างถาวรในปัจจุบัน

และเมื่อชาวบ้านหมู่บ้านน้อยป่าไร่(เดิม) จะกลับเข้าไปหากินในพื้นที่เดิม ก็ถูกขับไล่ไม่ให้เข้าพื้นที่ มีการปักหมุดเขตใหม่ทับหมุดเขตที่ดินเก่า ชาวบ้านยังไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ได้ เนื่องจากยังไม่มีการผลักดันชาวกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาให้ออกนอกพื้นที่ไปได้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทางอำเภอจึงเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม และขอให้จัดเตรียมข้อมูลในกรณีดังกล่าว เพื่อให้ข้อมูลในที่ประชุมในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 เวลา 09.00 น.ที่ ห้องประชุมอำเภออรัญประเทศ ชั้น 2 อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวนอกจากมีการบุกรุกจากคนกัมพูชาแล้ว ยังมีกลุ่มบุคคลจากพื้นที่อื่น ๆ และเจ้าหน้าที่บางหน่วยเข้าไปอ้างสิทธิ์ด้วย เนื่องจากมีทำเลและภูมิประเทศอยู่ติดกับชายแดนกัมพูชาและเป็นเส้นทางสำหรับนำสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เข้า-ออกโดยผิดกฎหมายของกลุ่มธุรกิจสีเทาและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ด้วยเช่นกัน ล่าสุด นางกันจนา สามล อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 140 หมู่ที่ 3 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้เดินทางไปที่ สภ.คลองลึก เพื่อแจ้งความว่า ผู้แจ้งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน น.ส.2ก. ที่ดินตั้งอยู่ หมู่ที่ 1 ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี(เดิม) เล่มที่ 11 หน้า 50 เลขที่ 138 รวมเนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ ต่อมา เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.65 เวลาประมาณ 10.49 น.ได้มี นายอำนวย แดงแก้วอนันต์ อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24/11 ถ.บ้าน กม.2 ฝั่งขวา ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้บุกรุกเข้ามาในที่ดินแปลงดังกล่าวของผู้แจ้ง และอ้างว่าเป็นที่ดินของตน จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำนินคดีกับนายอำนวยฯตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยมี พ.ต.ท.เฉลียว บุญคุ้ม พนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก ได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปด้วย

————————

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"