X

ทหารกองกำลังบูรพาจับกลุ่มผู้ลักลอบข้ามชายแดน 3 จุด รวม 13 คน จ.สระแก้ว

สระแก้ว – เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองกำลังบูรพา สามารถจับกลุ่มผู้ลักลอบข้ามชายแดนไทย-กัมพูชา 3 จุด รวม 13 คน ทั้งชาวกัมพูชาขาเข้าและขาออก รวมทั้งพนักงานบ่อนคาสิโนออนไลน์ ชาวอินโดนีเซียและหญิงไทย ขณะลักลอบเข้าประเทศไทย

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 10 พ.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองกำลังบูรพา ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.อมฤต บุญสุยา ผบ.กองกำลังบูรพา และ พ.อ.เสกสรรค์ พรหมศักดิ์ รอง ผบ.กกล.บูรพา สามารถจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบเดินทางข้ามชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งขาเข้าและขาออก ได้จำนวนมาก ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้มีการควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยแบ่งพื้นที่ควบคุมรับผิดชอบร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน การปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน และการปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน โดย พ.ต.ชาญ ว่องไวเมธี ผบ.ร้อย ทพ.1205 ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ได้รับคำสั่งจาก พ.อ.เอกพงษ์ กฤตยาเกียรติชุติ ผบ.ชค.ทพ.12 ให้จัดกำลังพลทำการลาดตระเวนและซุ่มเฝ้าตรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ จนได้ตรวจพบบุคคลต้องสงสัย จำนวน 5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน ขณะกำลังเดินเท้าพร้อมสัมภาระ ที่บริเวณพิกัด ทีเอ.378171 บ.ป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จึงเข้าทำการสอบถาม ทราบว่า เป็นชาวกัมพูชา เดินทางมาจากทำงานรับจ้างทั่วไปภายในตลาดสดเมืองแก้ว จ.สระแก้ว และกำลังพยายามลักลอบข้ามแดนขาออก ไปยังฝั่งประเทศกัมพูชา เพื่อกลับภูมิลำเนา จึงควบคุมตัวมาสอบสวนและบันทึกจับกุมที่ กองร้อยทหารพรานที่ 1205

ทั้งนี้ ชาวกัมพูชาที่ถูกจับกุมทั้งหมด ประกอบด้วย นายเพิ่ล เสยฮ่า อายุ 19 ปี ,นายเพิ่ล ทีวา อายุ 18 ปี, นายเล วาคิม อายุ 18 ปี, นางสาวรวน กะวันดาล อายุ 19 ปี และนางสาวเจีย กานดา อายุ 19 ปี มีที่อยู่ บ.ตะค้อ ต.เปียะค้อ อ.เกาะกะลอ จ.พระตะบอง ไม่มีเอกสารแสดงตน อ้างว่าสูญหาย เดินทางมาจากทำงานรับจ้างทั่วไปภายในตลาดสดเมืองแก้ว อ.เมือง จ.สระแก้ว โดยไม่มีนายจ้างที่แน่นอนและไม่ทราบชื่อนายจ้าง อยู่ในไทยได้ประมาณ 2 ปี พักอาศัยอยู่ภายในตลาดสดเมืองแก้ว โดยไม่ได้กลับภูมิลำเนา จึงจะเดินทางกลับภูมิลำเนา ประเทศกัมพูชา เนื่องจากไม่มีงานจ้างเพราะผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยเหมารถชายไทยไม่ทราบชื่อ ชนิดรถ สีรถ และหมายเลขทะเบียนรถ ขับมาส่งที่บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 2090 เส้นป่าไร่-ดงงู ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เสียค่าจ้างเหมารถจำนวน 2,000 บาท/คัน และเคยเข้า-ออก ไทยเป็นครั้งที่ 2 ทางจุดผ่านแดนถาวร บ.คลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ภายหลังทำการตรวจวัดอุณหภูมิเป็นปกติ เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย.ทพ.1205 จึงได้นำตัวชาวกัมพูชาทั้งหมดส่งให้กับ ร้อย.ตชด.127 บ.โนนหมากมุ่น เพื่อผลักดันกลับประเทศ ผ่านช่องทางอนุโลมฯ จุดตรวจ ส.38 ช่องทาง บ.โอบายเจือน ช่วงบ่ายวันนี้

พ.ต.ชาญ ว่องไวเมธี ผบ.ร้อย ทพ.1205 เปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน เจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดซุ่มตรวจและเฝ้าระวังการลักลอบเข้าประเทศ สามารถจับกุมบุคคลต้องสงสัยได้จำนวน 2 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน ขณะกำลังเดินเท้าตามเส้นทางธรรมชาติจากฝั่งประเทศกัมพูชาเข้ามาประเทศไทย ที่พิกัด ทีเอ.397171 บ้านป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า ทั้งสองคนเดินทางมาจากทำงานบ่อนคาสิโนออนไลน์ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา จะเดินทางเข้ามาไทยเพื่อกลับภูมิลำเนา จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่กองร้อย ทพ.1205 กระทั่ง ทราบว่า ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน โดยชายที่ถูกจับกุมชื่อว่า นายเจนเซิ่ล พอง อายุ 33 ปี ชาวอินโดนีเซีย อาศัยอยู่ที่เมืองเมดัน จ.สุมาตราเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย ทำงานในบ่อนได้ 4 ปี ส่วนหญิงไทยชื่อว่า น.ส.พรสุดา พูลสระน้อย อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 ม.10 ต.คลองทับจันทร์ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีบุตรกับหญิงไทย 1 คน เป็นโรคประจำตัว จึงพากันลักลอบเข้ามาในช่วงปิดด่าน เพื่อพาลูกไปรักษาตัวใน รพ. โดยว่าจ้างชาวกัมพูชานำพามาส่งที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจะเสียค่าใช้จ่ายรวม 5,500 บาท แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน เนื่องจากชาวกัมพูชาเห็นเจ้าหน้าที่ทหารก่อน จึงวิ่งหลบหนีเข้าไปฝั่งกัมพูชา เจ้าหน้าที่ ร้อย.ทพ.1205 จึงได้นำชาวอินโดนีเซียและชาวไทย สองสามีภรรยา ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จ.สระแก้ว เพื่อส่งต่อให้กับพนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก และให้ประสานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ อ.อรัญประเทศ ดำเนินการวัดไข้และนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไปกักตัว 14 วัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ภายหลังกองกำลังบูรพา ได้สั่งการให้กองกำลังป้องกันชายแดนเข้มงวด เรื่องการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดย พ.อ.เฉลิมเกียรติ ศิริสมบูรณ์ รอง ผบ.ฉก.ตาพระยา กองกำลังบูรพา สั่งการให้ชุดเคลื่อนที่เร็ว ฉก.ตาพระยา ร่วมกับชุดควบคุมตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 จัดเจ้าหน้าที่ ร้อย.ฉก.ตชด.4 นำกำลังพลทำการซุ่มเฝ้าตรวจ และลาดตระเวนในเขตพื้นที่รับผิดชอบตามมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งจากการกดดันและการข่าวได้ตรวจพบบุคคลต้องสงสัย จำนวน 6 คน ประกอบด้วย คนนำพาเป็น ชาย 1 คน ชาวกัมพูชา และแรงงานชาวกัมพูชา 5 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 4 คน ขณะกำลังเดินเท้าตามเส้นทางธรรมชาติ จากฝั่งประเทศกัมพูชาเข้ามาประเทศไทย ที่บริเวณพิกัด ทีเอ.54682747 ระหว่าง จุดตรวจ ส.35- ส.36 บริเวณบ้านโคกสูง ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว จึงจับกุมฐานกระทำความผิดฐานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จำนวน 6 คน

อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวกัมพูชาทั้ง 6 ประกอบด้วย นายวาย เซียน อายุ 17 ปี ผู้นำพา ,นายเทือน โท 32 ปี ,นางพร ไหม อายุ 19 ปี, นางแก้ว ยาว อายุ 28 ปี ,นางเทือน เซีย อายุ 23 ปี และนางเชิง หมัม อายุ 25 ปี ซึ่งจากการสอบสวน พบว่า นายวาย เซียน ผู้นำพา เดินทางมาจากฝั่งกัมพูชาโดยมีนายฮอน ซึ่งเป็นผู้จัดหาแรงงานฝั่งกัมพูชา เป็นผู้ว่าจ้างให้พาแรงงานทั้ง 5 คน มาส่งให้คนไทยตามจุดนัดพบ หากไปถึงแล้วให้โทรไปแจ้งนายฮอน และนายฮอนจะเป็นผู้โทรติดต่อรถให้มารับยังจุดนับพบทันที แต่มาถูกจับกุมเสียก่อน ซึ่งผู้นำพาชาวกัมพูชา ให้การรับสารภาพว่า นายฮอนที่เป็นนายหน้าจัดหาแรงงานฝั่งกัมพูชาได้เรียกรับค่าเดินทางจากแรงงานคนละ 3,500 บาท และได้จ่ายค่าจ้างให้ตนเอง จำนวน 1,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิปกติ และนำตัวนายวาย เซียน ผู้นำพา ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกสูง ส่งฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนแรงงานกัมพูชาอีก 5 คน ได้ทำบันทึกจับกุมและผลักดันออกนอกประเทศ ผ่านช่องทางอนุโลมฯ จุดตรวจ ส.38 ช่องทาง บ.โอบายเจือน

—————————–

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"