X

ชาวบ้านรวมตัวแจ้งความอาญา ม.157 จนท.รัฐปักหลักยึดที่ทำกิน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว

สระแก้ว – ชาวบ้านรวมตัวเข้าแจ้งความดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 กับเจ้าหน้าที่ของรัฐปักหลักยึดที่ทำกินชาวบ้านกว่า 20 ราย ในพื้นที่บ้านร่มไทร ต.ทัพเสด็จ จ.สระแก้ว

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 5 ต.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในพื้นที่ ม.9 บ้านร่มไทร ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว จำนวนกว่า 20 คน โดยมี น.ส.วราภรณ์ เรียงเงิน อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 221 ม.9 ต.ทัพเสด็จ เป็นแกนนำ เดินทางเข้าพบกับ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ธราพร สว.(สอบสวน) สภ.บ้านทัพไทย เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแก่ น.ส.สายหยุด อินทร์ประสงค์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านแสง์ ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ในข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ทั้งนี้ ชาวบ้านกว่า 20 ราย กล่าวหาว่า น.ส.สายหยุดฯ พร้อมลูกบ้านและเจ้าหน้าที่ได้นำหลักเสาปูนจำนวนมาก ทาสีแดง เข้าไปลุยขุดฝังเสาปูนในพื้นที่หว่านข้าวของผู้แจ้งและพยานในการแจ้งความครั้งนี้ เพื่อยึดที่ดินของผู้แจ้งและพวกไปเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ทั้งที่ในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนโซนเดียวกัน ก็มีที่ดินทำประโยชน์ของ น.ส.สายหยุดและญาติของ น.ส.สายหยุด ผู้เป็นผู้ใหญ่บ้าน เหตุใดจึงเจาะจงประสงค์มายึดแต่ที่ดินของผู้แจ้งและพวก จำนวน 20 กว่าราย

นอกจากนั้น ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้แจ้งและพวก ระบุว่า เป็นผู้เสียหายโดยตรง จึงเดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สภ.บ้านทัพไทย ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.สายหยุด ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านแสง์ ให้ถึงที่สุด จึงได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยมีพนักงานสอบสวน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ธราพร ตำแหน่ง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านทัพไทย อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ได้รับแจ้งความตามความประสงค์ผู้แจ้งไว้ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมกับรายงานให้กับ พ.ต.อ.รุ่งระวี สุขัง ผกก.สภ.บ้านทัพไทย รับทราบเบื้องต้น

นางวราพร แย้มศรี อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 146 ม.9 ต.ทัพเสด็จ กล่าวว่า ตนและชาวบ้านมาแจ้งความมาตรา 157 กรณีพื้นที่ทำกินที่ชาวบ้านเดือดร้อนจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแก้ปัญหากรณีที่ผู้ใหญ่เอาหลักเขตไปปักในที่ดินของชาวบ้าน โดยไปถอนหลักออกไป ให้ชาวบ้านได้ทำกินต่อไป เรื่องทุกอย่างก็จะยุติ แต่ถ้าดื้อดึงไม่ถอน เราก็จะไปตามกระบวนการที่มาแจ้งความไว้

ส่วน นายเยือ ล้วนศิริภาพ อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91 ม.2 ต.ทัพเสด็จ ผู้เดือดร้อน กล่าวว่า ทำนาและเสียภาษีตลอดตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามเขมรแดง มีหนังสือเอกสารสิทธิ์ น.ส.2 และ ภบท.5 ทำกินกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อที่ตายแล้วอายุ 80 ปี รุ่นตนเองก็อายุ 67 ปีแล้ว จู่ ๆ ผู้ใหญ่ก็ไปบอกว่า ยกเลิกเอกสารที่เรามี แต่ไม่ได้บอกชาวบ้าน โดยตนมีเอกสารสิทธิ์ตั้งแต่สมัยอยู่กับจังหวัดปราจีนบุรี โดยเป็นเอกสารสิทธิ์ น.ส.2 จำนวน 8 ไร่ และ ภบท.5 อีกจำนวน 70-80 ไร่ ตนอยากได้ที่ทำกินคืนเพราะอายุป่านนี้แล้วก็จะแบ่งให้ลูก ๆ และน้อง ๆ ทำกินต่อไป เพราะเป็นที่ดินมรดก หากจะมีการยึดไปเป็นที่สาธารณะ ตนเองก็จะไม่ยินยอม เพราะไม่มีที่ดินอื่นทำกินแล้ว มีแค่ตรงนั้นจุดเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังชาวบ้านเดินทางเข้าแจ้งความดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านทัพไทย ได้โทรศัพท์แจ้งประสานไปยังผู้ถูกกล่าวหาเบื้องต้นแล้ว โดยก่อนหน้านี้ น.ส.สายหยุด อินทร์ประสงค์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านแสง์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนมีหลักฐานเอกสารพร้อม ส่วน อบต.ซึ่งอยู่ระหว่างเชิญที่ดินอรัญประเทศ มาออกรังวัด เพื่อออก น.ส.ล. เนื่องจากเขาคิดว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อชาวบ้านไม่ยอมออกรุกไปเรื่อย ๆ การประชุมเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงสรุปว่า ทาง อบต.จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องและชาวบ้านมาประชุมกันใหม่ โดยทำเรื่องไปที่อำเภอเพื่อเรียกผู้ใหญ่ทั้ง 12 หมู่บ้าน ในตำบลทัพเสด็จ มาพูดคุยเพื่อให้รับทราบ แต่ส่วนมาก 90% รู้พื้นที่ตรงนี้ และเชิญ สปก., ที่ดินอรัญประเทศ ป่าไม้ ทหาร ตำรวจ ตชด. ที่อยู่หน้าแนวมารับทราบตรงนี้ ส่วนการถอนหลักออกไปหรือไม่ ในวันประชุมที่อำเภอ การปักหลักไม่ได้ไปปักโดยพลการ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้มาร่วมประชุมประชาคมที่หมู่บ้าน มีบันทึกไว้หมด มีผู้เข้าร่วมประชุม 105 คน รวมทั้งผู้บุกรุกในหมู่ 2 และหมู่ 9 ก็มารับฟังด้วย

——————————-

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"