สระแก้ว – ผลการตรวจวัดค่าฝุ่นละอองในพื้นที่ จ.สระแก้ว ช่วงเช้า พบตัวเลขพุ่งสูงอันดับ 1 ของจังหวัดในภาคตะวันออก หลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะระดมเข้ามาฉีดพ่นไอน้ำลดหมอกควันในพื้นที่เมืองอรัญประเทศเพียง 1 วัน
เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 18 ม.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.สระแก้ว เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา จากการตรวจสอบผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากเครื่องตรวจวัดอัตโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณโรงเรียนอนุบาลศรีอรัญโญทัย พบว่า ที่ ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีค่า AQI สูงที่สุดในภาคตะวันออก ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 152 สูงสุดในรอบสัปดาห์ จากเดิมที่เมื่อวานนี้(17 ม.ค.)ค่า AQI อยู่ที่ระดับ 109 เท่านั้น แม้จะมีการระดมหน่วยงานฉีดพ่นละอองไอน้ำพื้นที่ใจกลางเมืองอรัญประเทศก็ตาม รองลงมาคือ จ.ปราจีนบุรี ที่ ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ ค่า AQI อยู่ที่ระดับ 131 และอันดับสาม คือ จ.ระยอง ที่ ต.เนินพระ อ.เมือง และ ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง ค่า AQI อยู่ที่ระดับเดียวกันคือ 104 ซึ่งทั้งหมดจัดอยู่ในระดับสีส้ม ซึ่งหมายถึง เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว
ข่าวน่าสนใจ:
- ดับแล้ว!! ไฟไหม้บ่อขยะเทศบาลเมืองสระแก้ว เนื้อที่กว่า 43 ไร่ ล่าสุด ไฟดับแล้ว
- ชาวบ้านแก้งค้านสร้างฟาร์มหมู แอบเรียกลูกบ้านหาแนวร่วมทำประชาคม อ้างนายก อบต.คนดัง โร่แจ้งความหลังถูกแอบอ้าง
- ทหารพราน ทพ.13 จับเขมรลักลอบเข้าเมือง 14 คน พื้นที่คลองหาด จ.สระแก้ว
- เครียดจัด!! "หมอบรรหาร" อดีต ผอ.รพ.ยิงตัวตายคาบ้านริมเขาชั้น 2 อ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ สำหรับดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI) เป็นการรายงานข้อมูลคุณภาพอากาศในรูปแบบที่ง่ายต่อความเข้าใจของประชาชนทั่วไป เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้รับทราบถึงสถานการณ์มลพิษทางอากาศในแต่ละพื้นที่ว่าอยู่ในระดับใด มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยหรือไม่ โดยดัชนีคุณภาพอากาศ 1 ค่า ใช้เป็นตัวแทนค่าความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศ 6 ชนิด ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เป็นฝุ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เกิดจากการเผาไหม้ทั้งจากยานพาหนะ การเผาวัสดุการเกษตร ไฟป่า และกระบวนการอุตสาหกรรม สามารถเข้าไปถึงถุงลมในปอดได้ เป็นผลทําให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ และโรคปอดต่างๆ หากได้รับในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานจะสะสมในเนื้อเยื่อปอด ทําให้การทํางานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง ทําให้หลอดลมอักเสบ มีอาการหอบหืด , ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10), ก๊าซโอโซน (O3) , ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)
โดยกรมควบคุมมลพิษได้กำหนดเกณฑ์ของดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยไว้ โดยค่าตรวจวัดอยู่ที่ระดับสีส้ม AQI 101-200 เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เพื่อเตือนให้ประชาชนทั่วไป ควรเฝ้าระวังสขภาพ ถ้ามีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ส่วนผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ถ้ามีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์ทันที
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำและช่วงกลางคืนที่ผ่านมา ยังคงพบเห็นการเผาไร่อ้อยในพื้น อำเภอต่าง ๆ ที่มีการปลูกอ้อยเช่นทุกวัน อาทิ อ.วัฒนานคร , อ.เขาฉกรรจ์ ,อ.วังน้ำเย็น ,อ.วังสมบูรณ์ และ อ.คลองหาด กระจายกันทั่วพื้นที่ ส่งผลให้มีกลุ่มควันปกคลุมทั่วบริเวณของแต่ละอำเภอ ซึ่งในช่วงเช้าจะพบเห็นฝุ่นจากการเผาอ้อยตกกระจายทั่วพื้นที่่ใกล้เคียงด้วย
ทางด้าน ตัวแทนผู้ประกอบการอ้อยรายหนึ่ง เปิดเผยว่า กรณีการเผาอ้อยทุกพื้นที่ ต้องยอมรับว่า เป็นปัญหากันมานานแล้ว เราต้องเข้าใจชาวไร่ด้วยว่า เค้าไม่มีทางเลือกมากนักในการจัดการเรื่องนี้ ภาครัฐโดยกระทรวงอุตสาหกรรมพยายามจะออกระเบียบขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหา เช่นถ้าเป็นอ้อยที่มาจากการเผาจะถูกหักเงินต่อตันอ้อยและหากตัดสดชาวไร่ก็จะได้ส่วนเพิ่มจากเงินเฉลี่ยที่หักจากคนที่เผา แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร เพราะคนที่ใช้วิธีการเผาก็ยังคงเผาต่อไปเพราะด้วยปัญหาด้านแรงงานที่หายากมาก ส่วนมากมาจากประเทศเพื่อนบ้าน แรงงานเหล่านั้นไม่ชอบตัด อ้อยสดเพราะใบอ้อยคมมาก ถ้าให้ตัดสดต้องเพิ่มค่าแรงอย่างเดียว
ทั้งนี้ ด้วยราคาอ้อยขนาดนี้ ทำไปก็ขาดทุน แนวทางแก้ไขที่ควรจะเป็นคือ การใช้รถตัดอ้อย มีคนรับจ้างตัดจริง แต่ไม่เพียงพอและเลือกตัดเฉพาะอ้อยสวย เพื่อความสะดวกและราคาค่าจ้างค่อนข้างแพงมาก เกษตรกรรายย่อยจึงไม่สามารถจ้างรถตัด แรงงานก็หายากดังนั้น การเผาคือ ทางเลือกสุดท้ายที่เค้าต้องทำ ตนไม่ได้สนับสนุนให้เผา แต่ด้วยความเข้าใจและเห็นใจเกษตรกรรายย่อยที่สุด ซึ่งทางแก้ที่เป็นไปได้คือ โรงงานน้ำตาลจะต้องเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ ด้วยการลงทุนหารถตัดอ้อยมาตัดให้ชาวไร่ ที่เป็นลูกไร่ทั้งหมด โดยการจัดคิวการตัดในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นระบบ เพราะโรงงานมีบัญชีลูกไร่ทั้งหมดในมืออยู่แล้ว ส่วนค่าจ้างตัดอ้อยทุกคนเสียในราคาเดียวกัน ลดความเลื่อมล้ำทันที และโรงงานก็สามารถหักค่าตัดได้ง่ายตามระบบ หากใช้ระบบนี้เราจะลดการเผาอ้อยได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ทั้งนั้นขึ้นอยู่ที่นโยบายภาครัฐและโรงงานน้ำตาลว่า จะให้ความร่วมมือทำโครงการแบบนี้หรือไม่
——————————-
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: