X

เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ยกฟ้อง คดีเจ๊บิวและสามีฟ้องนักข่าวหมิ่นประมาท

นครพนม- เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ยกฟ้อง คดีเจ๊บิวและสามีฟ้องนักข่าวหมิ่นประมาท ชี้นักข่าวนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามหน้าที่นักข่าวไม่ผิดหมิ่นประมาท


เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลจังหวัดนครพนมได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ในคดี นายวีระชัย ว่องไวและนางกัญญาพัชญ์ ว่องไว เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องนายทวี อภิสกุลชาติ อดีตนายกสมาคมนักข่าวจังหวัดนครพนม และเป็นผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ 77 ข่าวเด็ด ประจำจังหวัดนครพนม ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา


โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน ทั้งคู่ประกอบอาชีพทำธุรกิจบ้านจัดสรร โดยโจทก์ที่หนึ่งคือนายวีระชัย ว่องไว เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด บุญญรินทร์ส่วนโจทก็ที่สองเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญนำพาเทรดดิ้ง จำเลยคือนายทวี อภิสกุลชาติ มีอาชีพเป็นนักข่าวอิสระ และเป็นผู้ควบคุมการพิมพ์ข้อมูลข่าวลงในเว็บไซด์ไซด์ 77 ข่าวเด็ด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ข่าวสารทางออนไลน์ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยจำเลยได้กระทำความผิดหลายครั้ง ติดต่อกัน กล่าวคือเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 จำเลยได้พาดหัวข่าวในเว็บไซด์ดังกล่าวว่า “อดีตหนุ่มแบงค์ หลอกเหยื่อ 7 ล้านวางแผนลวงอ้างลูกค้ารีไฟแนนซ์ธนาคาร “ พร้อมโพสต์ภาพข่าวบุคคลและสถานีตำรวจเมืองนครพนม และข้อความว่า ”แจ้งจับอดีตหนุ่มแบงค์ หลอกเหยื่อตายใจตุ๋นเปื่อย 7 ล้านบาท ซัดทอดผู้ร่วมขบวนการเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกัน” โดยมีข้อความรายละเอียดในเนื้อข่าวระบุว่า นายจิรวัฒน์ รัตนกูลวิโรจน์ หรือนามสกุลเดิม ช่างถม ชื่อ เล่นว่าบิ๊ก อายุ 30 ปี อดีตพนักงานสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม ได้มาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งเพื่อให้การเพิ่มเติม โดยกลับคำให้การเป็นว่า ให้การรับสารภาพและซัดทอดว่า ก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ นางกัญญาพัชญ์ ว่องไว ชื่อสกุลเดิม คือนางสาวสิริสุดา สุขเกษม ชื่อเล่น โจโจ้ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบิว อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112/99 ถนนประชาร่วมมิตร ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกันตอนเด็กๆ ได้แนะนำให้ตนไปตีสนิทเพื่อขอยืมเงินจากนางมะลิ (นามสมมติ) และวันเดียวกัน จำเลยได้ลงข้อความพาดหัวข่าวว่า “เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหด แสบคิดดอกเบี้ย 100 เปอร์เซ็นต์” โดยได้โพสต์ภาพบุคคล และสถานีตำรวจภูธรเมืองนครพนมและมีเนื้อหาข่าวเป็นข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า “…. และสามีคือนายวีระชัย ว่องไว หรือท่อม อายุ 47 ปีมีที่อยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 107 ถนนราชทัณฑ์ เขตเทศบาลเมืองนครพนม เป็นลูกชายนักธุรกิจเจ้าของรีสอร์ตแห่งหนึ่ง และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญญรินทร์ ที่นายท่อมถือหุ้นหลัก


และเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 จำเลยได้โพสต์ภาพถ่ายบุคคลซึ่งปรากฎภาพโจทก์ทั้งสองและเจ้าหน้าที่ตำรวจและพาดหัวข่าวว่า “โวรู้จักบิ๊กตำรวจ ทหาร อวดรวยกวาดซื้อทองยกถาด” และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 จำเลยได้โพสต์ภาพบุคคลและเจ้าหน้าที่ตำรวจและพาดหัวข่าวว่า “แจ้งความผู้ร่วมแกงค์กราวรูด “และข้อความ “เหยื่อหนุ่มแบ็งค์โผล่อีก เหตุเชื่อใจเพื่อนมากเกินไปจึงสูญ 11 ล้าน “ การกระทำของจำเลยเป็นการเผยแพร่ข้อมูลหรือข้อความ รวมทั้งโพสต์ภาพถ่ายของโจทก์ทั้งสอง ระบุตัวตนทั้งชื่อเล่น ชื่อและนามสกุลจริงรวมทั้งอาชีพและที่อยู่ของโจทก์ทั้งสองเป็นการใส่ความโจทก์โดยการโฆษณา ให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เมื่อบุคคลทั่วไปอ่านข้อความและบริบทประกอบเจตนาของจำเลยแล้วเข้าใจได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำลายชื่อเสียงของโจทก์ทั้งสอง เนื่องจากโจทก์ทั้งสองร่วมกับบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างตามเนื้อข่าวกระทำความผิดข้อหาร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่น แท้จริงแล้วโจทก์ทั้งสองไม่เคยร่วมกระทำความผิดกับบุคคลดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากผู้พบเห็นหรืออ่านข้อความ การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการโฆษณาไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 และเป็นการใส่ความโจทก์ในเรื่องส่วนตัวและไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 330 ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 326 , 328 และพระราชบัญญัตติการพิมพ์พุทธศักราช 2484 มาตรา 4 , 48


โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล และมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง แต่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษา กันได้ความว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 นาย ณ พลใบเงิน ทนายความในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร้อยตำรวจเอกหญิง จุฬารัตน์ อาจภิรมย์พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครพนมเพื่อให้ดำเนินคดีแก่นายจิรวัฒน์ รัตนกูลวิโรจน์ (สกุลเดิม ช่างถม ) นางกัญญาพัชญ์ ว่องไว (โจทก์ที่ 2) นายวีระชัย ว่องไว ( โจทก์ที่ 1) และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญญรินทร์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้พร้อมออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวน ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ,16 , 17 พฤษภาคม 2564 จำเลยได้ลงข้อความในเว็ปไซต์ 77 ข่าวเด็ด เพื่อรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงดังกล่าวโดยมีข้อความพาดหัวและเนื้อข่าวเกี่ยวกับการร้องทุกข์กล่าวหาบุคคลดังกล่าวตามที่ได้มีการร้องทุกข์ไว้กับพนักงานสอบสวน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์มีมูลหรือไม่โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าตามรายงานบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับคดีนี้ไม่ปรากฎ รายละเอียดหรือข้อความเกี่ยวกับชื่อเล่นที่อยู่และอาชีพของโจททั้งสองแต่จำเลยได้เสริมแต่งข้อความดังกล่าวขึ้นใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองการที่จำเลยลงข้อความพาดหัวข่าวและเนื้อหาข่าวในเว็บไซต์ ของจำเลยโดยมีภาพถ่ายของโจทก์ทั้งสองชื่อจริงชื่อเล่นและอาชีพของโจทก์ทั้งสองเพื่อให้ประชาชนทั่วไปอ่านเข้าใจว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ร่วมขบวนการฉ้อโกงผู้เสียหายด้วยซึ่งจำเลยก็เป็นญาติหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางมะลิผู้เสียหายหรือมีส่วนได้เสียในคดีดังกล่าว และต่อมาคดีดังกล่าวพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ทั้งสอง การกระทำของจำเลยจึงมีมูลความผิดตามฟ้อง

ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า การที่จำเลยเป็นนักข่าวอิสระและเป็นผู้ควบคุมสื่อการพิมพ์ข้อมูลที่ลงในเวปไซต์ 77 ข่าวเด็ด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ข่าวสารทางออนไลน์ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยลักษณะของงานข่าวนั้นนักข่าวมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบตามที่ได้พบเห็นมาในช่องทางของตนที่ใช้ในการสื่อสารอยู่ ดั้งนั้นหากรายงานหรือนำเสนอข่าวไปตามอำนาจหน้าที่ของนักข่าวตามสิ่งที่ได้พบเห็นมาจริงโดยสุจริตก็จะถือว่าเป็นการเสนอข่าวอันเป็นความเท็จหาได้ไม่ และกรณีการทำข่าวของนักข่าวเช่นนี้เข้าลักษณะเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้โดยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดังนั้นจากการไต่สวนของโจทก์ทั้งสองไม่ปรากฎว่าการลงพิมพ์เสนอข่าวของจำเลยเป็นการกระทำโดยมีเจตนากลั่นแกล้ง โดยปราศจากมูลเหตุอันเป็น ที่มาของข่าวสารในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง แต่กลับได้ความว่าจำเลยเสนอข่าวตรงไปตรงมาตามขั้นตอนการดำเนินคดี ได้มีผู้ไปร้องทุกข์กล่าวหาโจทก์ทั้งสองต่อพนักงานสอบสวนว่าผู้เสียหายถูกโจทก์ทั้งสองกับพวกร่วมกันฉ้อโกงตามบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก่อนที่พนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้องโจทก์ทั้งสองในคดีดังกล่าว นอกจากนั้นถึงแม้บันทึกประจำวันของตำรวจจะไม่มีรายละเอียดหรือข้อความเกี่ยวกับชื่อเล่นที่อยู่และอาชีพของโจทก์ทั้งสองและโจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยเพิ่มข้อความดังกล่าวขึ้นเองก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงวิธีการนำเสนอข่าวถึงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีความชัดเจนไม่ผิดตัวตามปกติวิสัยของนักข่าวโดยทั่วไปเท่านั้น จะถือว่าเป็นการเสริมแต่งข้อความขึ้นเพื่อใส่ความโจทก์ทั้งสองต่อบุคคลที่สามเพื่อให้เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังหาได้ไม่ ยิ่งไปกว่านั้นหากจำเลยเป็นญาติหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางมะลิ ผู้เสียหายจริงหรือมีส่วนเกี่ยวข้องโดยมีส่วนได้เสียในคดีนี้ ตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างมา นั้น จำเลยย่อมมีความชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต เพื่อป้องกันตนเองหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรมได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) การกระทำของจำเลยจึงไม่มีมูลความผิด ตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน


ซึ่งในการนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ในครั้งนี้ โจทก์ทั้งสองไม่ได้มาศาล แต่ให้ทนายความมาฟังคำพิพากษ์แทน และหลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว นาย ณ พล ใบเงิน ทนายความของจำเลยในคดีนี้ เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจมากที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 มีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ซึ่งชี้ให้เห็นว่าศาลท่านเมตตาคุ้มครองการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะมีการฟ้องกลับโจทก์ทั้งสองหรือไม่อย่างไร นั้นจะต้องขอปรึกษาหารือกับกับจำเลยในคดีนี้ก่อน

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน