นครพนม – พ่อเลี้ยงที่ถูกกล่าวหาทุบลูกติดเมียน่วมทั้งตัว ถูกแม่เด็กสั่งห้ามพูด โวยวายใส่ผู้สื่อข่าวลั่นบ้าน ด้านคดีรอเด็กพร้อมจึงสอบปากคำ
คืบหน้า กรณีนายธวัฒชัย แท่นทอง หรือบ๊อบบี้ อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 296 หมู่ 7 บ้านดอนกลาง ต.ธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชยภัทร โพธิจักร รองสารวัตรสอบสวน สภ.ธาตุพนม เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินคดีกับอดีตภรรยา น.ส.สุดารัตน์ มันทะ หรือหลิน อายุ 27 ปี และพ่อเลี้ยงชื่อนายสุวัฒน์ กิ่งสมุทร หรือแมน อายุ 33 ปี โดยอ้างว่าทั้งสองรุมทุบตีน้องมีโอ(นามสมมุติ) อายุ 7 ขวบ ลูกชายที่เกิดกับตนและ น.ส.หลิน จนมีรอยฟกช้ำตามร่างกายทั่วตัว ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างแฉกันไปมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ล่าสุด วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวได้ไปรอสัมภาษณ์นายสุวัฒน์ กิ่งสมุทร หรือแมน อายุ 33 ปี พ่อเลี้ยงของน้องมีโอ โดยนั่งรออยู่หน้าบ้านเลขที่ 45 หมู่ 5 บ้านดอนกลาง ต.ธาตุพนม ตั้งแต่เวลา 05.30 น. ระหว่างนั้นก็ได้สอบถามเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง ว่า เคยได้ยินเสียงทุบตีหรือเด็กร้องไห้หรือไม่ ซึ่งทุกคนอ้างว่าไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น บางคนก็เดินหนีไป กระทั่งเวลา 07.30 น. นายสุวัฒน์พ่อเลี้ยงก็เปิดประตูบ้านออกมาหยิบเสื้อที่ตากอยู่ตรงราวหน้าบ้าน เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวก็ร้องเรียก น.ส.สุดารัตน์ มันทะ หรือหลิน เอากุญแจมาเปิดประตูบ้าน แต่ถูกตะโกนกลับมาจากข้างในว่า คนกำลังจะไปหาหมอไม่ขอให้สัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น โดยอ้างว่าพูดก็ตายไม่พูดก็ตาย และสั่งนายแมนห้ามออกมาพบกับผู้สื่อข่าวโดยเด็ดขาด
ด้านความคืบหน้าในการดำเนินคดี เบื้องต้น น.ส.หลินผู้เป็นแม่แท้ๆ รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือตีลูกชายจริง โดยนายสุวัฒน์พ่อเลี้ยงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และมีอาการป่วยด้วยโรคไตระยะที่ 5 แต่จะขอโอกาสแก้ตัวว่าจะดูแลน้องมีโอเป็นอย่างดี จะไม่ทุบตีเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้น้องมีโออยู่ในความดูแลของพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม โดยต้องรอให้เด็กมีความพร้อมที่จะให้ปากคำจึงจะสอบสวนต่อหน้าสหวิชาชีพ หากเด็กซัดทอดถึงใครก็จะแจ้งข้อกล่าวหาตามลำดับต่อไป
คดีดังกล่าวเปิดเผยจากการที่ นางกัญญาภัค ทันใจ อายุ 33 ปี ได้ส่งข้อความร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯ ว่าพ่อเลี้ยงของหลานชายวัย 7 ขวบ คือนายสุวัฒน์หรือแมน ทุบตีทำร้ายจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม จ.นครพนม แม้จะแจ้งความไว้แล้วแต่กลัวเรื่องจะเงียบ ตนซึ่งมีศักดิ์เป็นอาจึงร้องเรียนมูลนิธิปวีณาให้ติดตามเรื่องนี้ด้วย
