X
แนะนำตัวผู้สมัคร

ประชาธิปัตย์ จัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่แปดริ้ว ชูเล่นการเมืองสะอาดผลักดันนโยบายแก้จน

ฉะเชิงเทรา – ประชาธิปัตย์ จัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่แปดริ้ว รวมขุนพลระดับแถวหน้าขึ้นปราศรัย โชว์ตัวผู้สมัครแบบชุดใหญ่ในภาคตะวันออกขึ้นแนะนำบนเวที พร้อมชูเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างใสสะอาด วาดฝันนโยบายแก้จนสร้างคนสร้างชาติ สานต่อผลงานเก่าเมื่ออดีต ส่งเสริมอุตสาหกรรมและยานยนต์ปลอดมลพิษในอนาคต

วันที่ 15 ก.พ.62 เวลา 18.00 น. ที่บริเวณสนามหน้าศาลาจตุรมุข ฝั่งตรงข้ามศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการจัดเวทีปราศรัยใหญ่โดยนำผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค จากในเขตภาคตะวันออกเกือบทุกจังหวัดมาขึ้นโชว์ตัวบนเวทีปราศรัยท่ามกลางประชาชนที่ผู้สมัครแต่ละรายนำมาร่วมรับฟังการปราศรัยจำนวนกว่า 1 พันคน

สาธิต ขึ้นนำ

ก่อนที่จะมีแกนนำของพรรคประกอบด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีต ส.ส.จังหวัดระยอง ขึ้นปราศรัยนำด้วยท่วงทำนองที่ดุดันเกี่ยวกับการถูกสกัดกั้นทางการเมืองในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ และการต่อสู่ในสนามเลือกตั้งของตนเองก่อนที่จะไต่เต้ามาถึงระดับรองหัวหน้าพรรค และแช่งส่ง อดีต ส.ส.เก่าของพรรคที่ถูกดูดไปอยู่พรรคอื่นให้สอบตกในการเลือกตั้งครั้งนี้

มีดโกนเล่มเก่า

จากนั้นในเวลา 18.50 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัย ด้วยการเล่าตำนานในความเป็นมาของพรรค ตลอดจนเส้นทางทางการเมืองของตนเอง และเรื่องราวในสมัยอดีต และกล่าวถึง อดีต ส.ส.ที่ย้ายพรรคไปด้วยความเสียดาย ก่อนที่จะชูนโยบายการเล่นการเมืองอย่างมือสะอาด และสามารถติดตามตรวจสอบการทำงานของคนในพรรคได้

เวทีใหญ่ ที่แปดริ้ว

พร้อมเตรียมฟื้นนโยบายเก่าด้วยการสานต่อนโยบายเดิมที่ระบุว่าพรรคเป็นผู้ริเริ่มทำมาก่อนจนประสบความสำเร็จ เช่น นโยบายกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โครงการค่ารักษาพยาบาลฟรี โครงการเบี้ยยังชีพคนชราที่เริ่มทำมาเมื่อยุคของประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จาก 200 บาท จนมีรัฐบาลอื่นมาสานต่อให้เป็น 500 และ 800 บาท และจะเพิ่มให้เป็น 1,000 บาทต่อไปหากพรรคได้รับเลือกตั้ง

กองเชียร์มาแน่น

นอกจากนี้ยังพูดถึงการทำงานทางการเมืองของพรรคที่เน้นด้านความใสสะอาด สามารถตรวจสอบได้ โดยระบุว่าไม่เคยมีหัวหน้าพรรคของประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนใดถูกดำเนินคดีเพราะทุจริต พร้อมชี้ให้เห็นถึงปัญหาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจากพรรคการเมืองอื่นเคยมีอำนาจแล้วไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ

ปราศรัยใหญ่ ที่แปดริ้ว

โดยชี้ว่าไม่ใช่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับเดิมไม่ดี แต่เป็นความผิดพลาดเป็นความเลวร้ายของคนที่ใช้รัฐธรรมนูญแล้วไม่ปฏิบัติตาม เช่น การละเมิดกฎหมายบ้านเมืองด้วยการใช้วิธีการนอกกฎหมาย ที่มีการแทรกแซงองค์กรต่างๆ ไปจนถึงการแทรกแซงวุฒิสภา และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการถูกแทรกแซงจากหลังบ้าน จากภรรยาขอร้องสามีเพราะภรรยาเกรงใจคุณหญิงที่ขอร้องภรรยามา โดยภรรยานั้นมีสามีเป็นนายตำรวจ และนายตำรวจนั้นเรียนรุ่นเดียวกันกับตุลาการฯ

ชวนขึ้นเวที

โดยมีการเสนอผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกัน เพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาความขัดแย้งที่นำมาสู่การถูกยึดอำนาจ เป็นการดึงประเทศเข้ามาสู่ในระบอบทหารในปัจจุบัน พร้อมทั้งยกตัวอย่างความผิดพลาดในการบริหารงานของบางรัฐบาล ที่มีการยุบหน่วยงานความมั่นคงไป โดยไม่ได้ทำการศึกษาให้ดีก่อน จนเกิดปัญหาขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

ขุนพลตะวันออก

นอกจากนี้นายชวนยังระบุอีกว่า ในระหว่างที่ตนเองดำรงตำแหน่งสำคัญ โดยเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ได้มีการคืนเงินค่าบริหารงานในด้านต่างๆ ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่หน่วยงานในทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เพื่อตอบแทนบุญคุณของประชาชน และยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่ทำกันมา จึงทำให้นายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยึดทรัพย์ และไม่ถูกกล่าวหาว่าโกง และยังคงอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ได้โดยไม่ต้องหนีไปอยู่ยังในต่างประเทศ นายชวน กล่าวบนเวทีปราศรัย

นั่งในรถตุ๊กๆ ไฟฟ้า

ต่อมาในเวลา 19.41 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ที่ได้นั่งรถตุ๊กๆ สามล้อขนาดใหญ่ซึ่งผลิตจากผู้ประกอบการใน จ.ฉะเชิงเทรา และใช้พลังงานไฟฟ้าเดินทางเข้ามายังที่เวทีปราศรัย เพื่อที่จะโชว์นโยบายในการสนับสนุนให้ประเทศไทยนั้นหันไปใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดฝุ่นมลพิษในอากาศ และจะมีแนวทางการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหากได้เป็นรัฐบาล

มาหาคะแนนที่แปดริ้ว

ก่อนที่จะขึ้นเวทีปราศรัยและรับการต้อนรับ ด้วยการมอบดอกกุหลาบสีแดงจากบรรดาผู้มารับฟังการปราศรัยที่มารอให้การสนับสนุน และได้เริ่มต้นปราศรัยขึ้นในเวลา 19.49 น. โดยใช้เวลาเกือบ 1 ชม. ในการขึ้นเวทีปราศรัย จนถึงเวลา 20.44 น. จึงได้กล่าวปิดท้ายการปราศรัยลงในที่สุด ซึ่งในการปราศรัยบนเวทีของนายอภิสิทธิ์นั้น ได้พูดกล่าวชักชวนให้ประชาชนออกมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 24 มี.ค.นี้

แนะนำตัวผู้สมัครแปดริ้ว

และได้พุดถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ระบุว่าเศรษฐกิจดีแต่เฉพาะคนรวยอยู่กลุ่มเดียว แต่ประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่จนลงมากกว่าเก่า และพูดถึงนโยบายช่วยเหลือคนจนที่ได้รับการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ประชาชนนำไปใช้ทั่วไปไม่ได้ ทำให้ไม่เกิดประโยชน์ฐานรากที่แท้จริง

ผู้สมัครฉะเชิงเทรา

และระบุว่าหาก ปชป.ทำ จะต้องทำให้ประชาชนมีเงินมีกำลังซื้อจากแม่ค้าที่เป็นคนจนด้วยกันเองในตลาดใกล้บ้านเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนอยู่ในเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนด้วยการโอนเป็นเงินสดเข้าสู่บัญชีให้ประชาชนโดยตรง พร้อมชูนโยบายแก้จนด้วยการประกันรายได้ โดยบอกว่าพรรคพร้อมแล้วในเรื่องของการแก้จน ทั้งยังพูดถึงบางรัฐบาลที่มีการขึ้นค่าแรงพรวดเดียวทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่น และทำให้ค่าแรงหยุดชะงักไม่ขึ้นมานานหลายปี

รวมพลภาคตะวันออก

ต่อมาได้ เปรียบเทียบว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยหลายแบบ เช่น ประชาธิปไตยแบบทุจริต เบียดบังผลประโยชน์ประชาชนไปให้แก่พวกพร้อง ครอบครัว นายใหญ่ มีการทุจริตด้านอำนาจที่นำไปใช้ในการข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้าม และแทรกแซงองค์กรต่างๆ ไม่ยอมรับการตรวจสอบ ส่วนอีกหนึ่งประชาธิปไตย คือประชาธิปไตยวิปริต คือ เลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่สนใจกฎกติกามารยาท

เวทีแปดริ้ว

คือการต่อท่ออำนาจ สืบทอดอำนาจ โดยใช้กติกาที่ตนเองมีความได้เปรียบเป็นต่อและก็จะกลับมาบริหารเศรษฐกิจให้เป็นแบบนี้อีก ทางเลือกที่ถูกต้องคือเลือกประชาธิปไตยที่สุจริต ซึ่งเป็นทางเลือกของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการชูความซื่อสัตย์สุจริตของพรรคเป็นอุดมการณ์ที่สืบทอดสานต่อกันมา ขณะเดียวกันยังพูดถึงกลไกการบริหารจัดการในการประกันราคาข้าว และพืชผลทางการเกษตรที่จะนำกลับมาทำต่อ

กองเชียร์ประมาณ 1 พัน

โดยมีการเปรียบเทียบกันกับนโยบายจำนำข้าวที่ขาดทุนหลายแสนล้านบาทของบางรัฐบาล และทำให้สินค้าภาคเกษตรเกิดการปั่นป่วน เนื่องจากไปรับซื้อในราคาที่สูงเกินจริง และเมื่อซื้อมาแล้วได้ทำให้มีสินค้าล้นสต็อก จนไปกดราคาข้าวในปีถัดมา เพราะคนค้าข้าวนั้นรู้ว่ามีของล้นสต็อกอยู่ และเมื่อระบายออกยังมีการทุจริตเกิดขึ้นอีก โดยระบุว่าการประกันราคาข้าวและผลผลิตทางการเกษตรนั้นได้ทำสำเร็จมาแล้ว และจะนำมาปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น โดยจะมีการขยายไปถึงพืชผลอื่นๆ ด้วย

นอกจากนี้ยังกล่าวถึง นโยบายให้ทุนเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 8 ขวบรวม 1 แสนบาทต่อคน พร้อมขยายนโยบายเรียนฟรีจากเดิมแค่ ป.6 ไปจนถึงชั้นมัธยม และต่อด้วยสายอาชีพในระดับ ปวส. เพื่อรองรับตำแหน่งงานทางด้านสายอาชีพ

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

สนทะนาพร อินจันทร์

สนทะนาพร อินจันทร์

ลุยงานช่วยเหลือคนเดือดร้อนมาทั้งชีวิต อย่างไม่คิดเรียกสิ่งตอบแทน