บ้านมั่นคงบ่อบัว ส่อทุจริตหลังชาวบ้านข้องใจงบสาธารณูปโภคหาย

ฉะเชิงเทรา – บ้านมั่นคงบ่อบัว แปดริ้วส่อวุ่นหลังชาวบ้านข้องใจงบหนุนสาธารณูปโภคที่ได้รับจากพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หาย ชาวบ้านไม่มีทั้งน้ำประปาไฟฟ้าท่อระบายน้ำบ่อบำบัด ตลอดจนเส้นทางการสัญจรภายในหมู่บ้านใช้มานานนับสิบปี วอนหน่วยงานรับผิดชอบเข้าตรวจสอบติดตามหาเงินงบประมาณที่หายไป

วันที่ 11 ต.ค.61 ที่บริเวณหมู่บ้านมั่นคงบ่อบัว ม.1 ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ชาวบ้านต่างพากันออกมารวมตัวเรียกร้องผ่านสื่อขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับโครงการหมู่บ้านมั่นคงเข้ามาตรวจสอบสภาพหมู่บ้านที่ได้รับการสนับสนุนเงินงบประมาณแผ่นดินมาทำการก่อสร้างและจัดสรรให้ประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเข้ามาเช่าซื้อในรูปแบบของสหกรณ์บ้านมั่นคงนั้น

ขณะนี้ผู้อยู่อาศัยได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นหลายด้านในโครงการ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมขังภายในหมู่บ้านเนื่องจากโครงการก่อสร้างไม่มีระบบบำบัดและท่อระบายน้ำ ทั้งที่ได้รับเงินงบประมาณสนับสนุนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโครงการเมื่อปี พ.ศ.2551 จำนวน 4.2 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างวางระบบสาธารณูปโภคในหมู่บ้าน ทั้งไฟฟ้า ประปา บ่อบำบัดน้ำเสีย ท่อระบายน้ำต่างๆ

แต่ชาวบ้านกลับพบว่าเงินจำนวนดังกล่าวนี้ ไม่ได้นำมาใช้ดำเนินการทำไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการจริงจนเกิดปัญหา ทำให้ชาวบ้านต่างพากันได้รับความเดือดร้อนกันอย่างถ้วนหน้า โดย นางจุฑามณี บุญกาญจน์ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 137 ม.1 ต.บ้านใหม่ กล่าวว่า ตนเข้ามาซื้อบ้านอยู่ในโครงการที่ด้านท้ายของหมู่บ้านแห่งนี้ จึงมักถูกน้ำท่วมขังบริเวณบ้านอยู่เป็นประจำในทุกครั้งที่เกิดฝนตกหนัก

ขณะเดียวกันถนนเส้นทางการสัญจรภายในหมู่บ้านมักถูกน้ำท่วมขังเนื่องจากภายในหมู่บ้านไม่มีการวางท่อหรือระบบระบายน้ำออกจากหมู่บ้าน จึงทำให้ตนเองนั้นล้มป่วยอยู่เป็นประจำจากรอยบาดแผลโรคเบาหวานที่เป็นอยู่นั้น เน่าเปื่อย เพราะต้องเดินลุยน้ำเข้าออกจากบ้านอยู่ตลอดเวลา จนแพทย์ต้องช่วยเจาะเอาน้ำเหลืองและหนองออกมาแล้วหลายครั้ง

ทุกวันนี้เดือดร้อนมากจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำการตรวจสอบโครงการก่อสร้างหมู่บ้านแห่งนี้ว่ามีการใช้เงินงบประมาณในการวางระบบสาธารณูปโภคไปอย่างถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้มีการวางระบบท่อระบายน้ำภายในหมู่บ้านมาตั้งแต่แรก ทั้งที่เคยได้รับงบประมาณให้นำมาใช้ดำเนินการ นางจุฑามณี กล่าว

ขณะที่นางภัคจิรา สังข์ทอง อายุ 45 ปี ชาวบ้านอีกรายกล่าวว่า พวกตนได้เข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อปี 2553 หลังจากได้มีโครงการก่อตั้งสร้างหมู่บ้านมั่นคงบ่อบัวมาตั้งแต่ในปี 2551 โดยเมื่อครั้งแรกที่เข้ามาอยู่ยังรู้สึกแปลกใจที่โครงการหมู่บ้านที่ได้รับเงินงบประมาณสนับสนุนจากทางสำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ฉะเชิงเทรานั้น กลับไม่มีทั้งไฟฟ้า ประปา และระบบบำบัดน้ำเสียรวมถึงท่อระบายน้ำ

ตลอดจนถนนหนทางสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ในหมู่บ้านเลย ทั้งที่ทราบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ได้รับเงินงบประมาณตามแบบอนุมัติโครงการบ้านมั่นคง จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. เพื่อใช้ปรับปรุงพัฒนาชุมชน ในด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการบริหารจัดการอุดหนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัย

ตามผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการโครงการบ้านมั่นคง ในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 9/2550  เมื่อวันที่ 25 ก.ย.50 มาแล้วเป็นจำนวนเงิน 4.2 ล้านบาท แต่กลับไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ตามเงินงบประมาณที่ได้รับมาเลย เมื่อไปติดตามสอบถามจากทาง พอช. และทางสหกรณ์หมู่บ้านมั่นคงบ่อบัว กลับไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่ามีการนำเอาเงินงบประมาณตรงส่วนนี้ไปใช้ทำอะไรบ้าง

เนื่องจากระบบไฟฟ้าที่มีการลากสายเชื่อมโยงเข้ามาในหมู่บ้านในปัจจุบัน และระบบประปานั้น ทั้งสองหน่วยงานได้ขยายเขตเข้ามาให้บริการแก่ประชาชนเองโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการขยายเขตติดตั้งระบบ โดยใช้เงินงบประมาณจากในส่วนของทั้งสองหน่วยงานเองทั้งหมด ขณะที่ถนนเส้นทางการสัญจรที่เคยเป็นเพียงดินหินคลุกโรยบางๆ ทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.บ้านใหม่) ก็เข้ามาดำเนินการให้ ชาวบ้านจึงสงสัยว่าเงินงบประมาณจาก พอช.จำนวน 4.2 ล้านบาทที่ได้รับมานั้นหายไปไหน

ที่ผ่านมาชาวบ้านเดินเข้าออกหมู่บ้านกันอย่างยากลำบากเพราะมีน้ำท่วมขังบนถนน จนทาง อบต.จึงได้เข้ามาวางท่อระบายน้ำให้ แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง เพราะมีงบประมาณเข้ามาทำให้แค่เพียงถนนเส้นหน้าหมู่บ้านเท่านั้น ขณะที่ล่าสุดเพิ่งได้รับงบไทยยั่งยืนเข้ามาอีกระยะหนึ่งเพียง 100 เมตร ก็ยังไม่เพียงพอจนเกิดปัญหาน้ำท่วมขังอยู่ตามบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไปเกือบทุกหลังคาเรือน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน

นอกจากนี้ชาวบ้านยังสงสัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสหกรณ์บ้านมั่นคงบ่อบัว ที่คณะกรรมการบริหารที่จัดตั้งขึ้นมานั้น ยังเป็นระบบสหกรณ์แบบครอบครัว ที่ประธานสหกรณ์ขนญาติ พี่น้อง ลูกเขย ลูกสะใภ้ เข้ามานั่งเป็นกรรมการบริหารเกือบทั้งหมด จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำการตรวจสอบว่าสหกรณ์แห่งนี้มีการบริหารงานถูกต้องโปร่งใสหรือไม่

เนื่องจากที่ผ่านมาสหกรณ์ได้มีการหักเงินจากผลกำไรไปปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ในทุกๆ ปี แต่อาคารสำนักงานสหกรณ์ที่มีการดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบันปี 2561 รวมระยะเวลา 10 ปีแล้วก็ยังไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังมีเงินอุดหนุนที่อยู่อาศัยของชาวบ้านอีกจำนวน 120 หลังคาเรือนรายละ 2 หมื่นบาท รวมเงินทั้งสิ้น 2.4 ล้านบาทที่ชาวบ้านยังไม่เคยได้รับถึงมือ ชาวบ้านจึงอยากได้คำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ นางภัคจิรา กล่าว