วันที่ 19 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมแควใหญ่ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้ นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดกาญจนบุรี ครั้งที่ 4 ประจำปี 2566 พร้อมด้วย นายอุทัย ขันทอง รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ
ด้วยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนมีหนังสือแจ้งร่างแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล และช่วงวันหยุด พ.ศ.2567 เพื่อให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ใช้เป็นแนวทางการบูรการการดำเนินงานป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยได้กำหนดช่วงควบคุมเข้มข้นระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 – 4 มกราคม 2567 ภายใต้ชื่อในการรณรงค์ว่า “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ”
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการชี้แจงแนวทางในการบูรณาการเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 ของจังหวัดกาญจนบุรี ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในด้านต่างๆ นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 โดยได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 ของจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 มีวัน หยุดติดต่อกันหลายวัน เป็นช่วงที่ประชาชนใช้รถใช้ถนน เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนาและมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนทางหลวงสายต่างๆ เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเวลาปกติ
ประกอบกับนโยบายของคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในการจราจรที่จะนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตของประชาชน โดยให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในการตรวจจับ ป้องกัน การรายงาน และการดูแลผู้บาดเจ็บ ในส่วนของจังหวัดกาญจนบุรีได้มีการตั้งคณะทำงานในด้านต่างๆ ในการดำเนินงานในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางท้องถนน ควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้กับประชาชน
ทั้งการปฏิบัติตามกฎจราจร การสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถ เมาไม่ขับ การข้ามทางม้าลาย การหยุดตรงทางข้าม และเน้นย้ำในเรื่องรถบรรทุกอ้อยที่มีน้ำหนักเกินรวมทั้งการบรรทุกอ้อยที่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ของผู้ร่วมทางถ้าหากพบเจอจะดำเนินการตามมาตรการในทุกข้อกฎหมาย อีกทั้งให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญต่อการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนทั้งต่อตนเองและผู้อื่น.
