X

พัทลุง-ญาติออกมายันครอบครัวเด็กยากจน การซื้อโทรศัพท์จำเป็นต้องซื้ออนาคต เพิ่อรองรับการสื่อสารด้านการศึกษายุคใหม่

พัทลุง-ญาติผู้ใหญ่ของเด็กออกมายืนยันครอบครัวเด็กยากจน การซื้อโทรศัพท์จำเป็นต้องซื้ออนาคตของลูก เพื่อรองรับการสื่อสาร การศึกษายุคใหม่

ผู้สื่อข่าว จ.พัทลุง รายงานว่า จากกรณีที่นายกันตภณ (น้องวีน) เต่าจันทร์ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39 หมู่ที่ 9 ต.ตะแพน อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนปัญญาวุธ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ได้สอบคัดเลือกเป็นนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แต่น่าจะมีปัญหาและอุปสรรคในการศึกษาต่อ เนื่องจากทางครอบครัวที่นางอำภา สังข์ทอง อายุ 42 ปี ผู้เป็นมารดา เป็นสาวม่ายมีฐานะยากจน ต่อมาทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและสื่อต่าง .ๆได้นำเสนอข่าวดังกล่าวไปยังสาธารณชน ในการขอสนับสนุนเงินทุนการศึกษาแก่ “ น้องวีน “ ต่อมามีผู้มีเมตตาจิตทั้งในและต่างจังหวัดได้โดนเงินผ่านบัญชีเข้ามาช่วยเหลือครอบครับน้องวีนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในวันนี้(ที่ 8) ทางครอบครัวของน้องวีนได้ปิดบัญชีการรับบริจาคแล้ว

ทั้งนี้ ทางน้องวีนได้โพสต์ข้อความขอขอบพระคุณผู้มีจิตเมตตาทุก ๆ คน ทุกหน่วยงาน ที่ได้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาในการศึกษาต่อในคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาในครั้งนี้ โดยน้องวีนจะตั้งใจเรียน และจะนำทุนการศึกษาดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดให้เหมาะสมกับที่ได้รับความเมตตาในครั้งนี้ และขอหยุดรับการบริจาคทุนการศึกษาจากผู้มีเมตตาจิตตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทางด้าน มูลนิธิมวลมหาประชาชน เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ได้มอบหมายให้นายทวี ภูมิสิงหราช อดีต สว.พัทลุง พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังบ้านพักของน้องวีน เพื่อขอแจ้งความประสงค์ของมูลนิธิฯในการให้การดูแล ช่วยเหลือ ทุนการศึกษาแก่น้องวีนจนจบการศึกษา ในขณะที่โซเซียลออกมาตำหนิว่าครอบครัวนี้จนไม่จริงจนเกิดข่าวฉาวโฉ่ ตามข่าวที่เสนอมาแล้วนั้น

เมื่อตอนเย็นวันนี้ 9 มกราคม 2566 ทางด้านนายพิเชษ พลอยดำ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 241 หมู่ที่ 9 ต.บ้านพร้าว อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของครอบครัวดังกล่าวที่เข้าไปแก้ปัญหาของครอบครัวดังกล่าว หลังจากที่สอบติดแพทย์แต่ไม่มีทุนศึกษาต่อเป็นคนแรก และนายสมคิด ทองสง อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ที่ 5 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง อดีต ผอ.โรงเรียนบางแก้วพิทยาคม อ.บางแก้ว จ.พัทลุง และ ผอ.โรงเรียนปัญญาวุธ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ได้เดินทางมาพบสื่อมวลชน จ.พัทลุง เพื่อให้รายละเอียดเรื่องที่อื้อฉาวดังกล่าว โดยทางด้านนายพิเชษ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากทางญาติๆ ให้เข้าไปดูแลครอบครัวดังกล่าว ก็พบว่าเป็นครอบครัวที่เปราะบาง ยากจนจริงมีรายได้จากการกรีดยาง รับจ้าง-รับซื้อเศษยางประมาณ 300 – 400 บาท บางวันเงินจะซื้อข้าวสารให้ลูกทั้ง 2 คนก็แทบไม่มี เนื่องมีฝนตกหนักไม่ได้ออกไปกรีดยาง ตนจึงนำเรื่องมาปรึกษากับญาติๆ และเพื่อนๆ ว่าจะช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าวอย่างไรบ้าง


ต่อมาก็ได้รับการช่วยเหลือเงินในการไปซื้อข้าวสาร น้ำมันพืช ฯลฯ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว และได้นำเรื่องนี้ขึ้นเฟซบุ๊กของตนเพื่อระดมทุนให้เด็กได้เรียนจบ ม.6 สำหรับเรื่องที่ครอบครัวนี้เครียดหนักก็คือเมื่อลูกสอบติดแพทย์จะเอาเงินที่ไหนไปศึกษาต่อ ซึ่งทั้ง 2 คน ต่างก็กอดคอร้องไห้มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับตนนั้นต้องการให้น้องวีนเรียนจบ ม.6 ไปก่อน ส่วนการศึกษาต่อคณะแพทย์ยังมีเวลาที่จะร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็ได้ปรึกษากับผู้มีองค์ความรู้ในการแก้ปัญหาเปราะบางในการแก้ปัญหาสภาพจิตใจของครอบครัวดังกล่าวด้วย เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สังคมดราม่าว่าครอบครัวนี้ไม่จนจริง ซื้อโทรศัพท์เครื่องแพงๆ ให้น้องวีนนั้น นายพิเชษ กล่าวว่า น้องวีนไม่ได้เรียนพิเศษจากโรงเรียนจากสำนักนักติวเตอร์ มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากฮอนไลน์ เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสอบศึกษาต่อคณะแพทย์ตามความมุ่งมั่นและความฝันของเด็กจึงมีความจำเป็นยิ่ง ถึงแม่จะไม่มีเงินก็ต้องหายืมเงินเขามาโดยมีการผ่อนเป็นงวด .ๆ เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การเรียนเพื่ออนาคตของลูก การที่สังคมกล่าวโจมตีครอบครัวนี้ที่เปราะบางนั้นเพราะสังคมไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของครอบครัวนี้เป็นอย่างไร ก็ต้องขอขอบคุณโซเซียลที่ได้ทำให้มีผู้มีเมตตาจิตส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวน้องวีนในครั้งนี้ ส่วนคนที่กล่าวโจมตีน้องวีนเขาคงไม่รู้ว่าความลึกตื้นหนาบางของน้องวีนมันคืออะไร และคงไม่รู้ว่าครอบครัวในวันที่ไม่มีจะกินมันเจ็บปวดขนาดไหน และน้องวีนคือต้นกล้าทางการแพทย์ ตนจึงคิดว่าเหตุการณ์นี้ทำให้ครอบครัวของน้องนั้นมีความทุกข์บนความโชคดีที่พี่น้องประชาชนได้รับการแบ่งบันจิตศรัทธามาให้

ทางด้านนายสมคิดฯ เผยว่า ได้มีการพูดคุยกันก่อนในก่อนหน้านี้ที่เงินจากผู้มีจิตศรัทธาจะโอนเงินมาช่วยเหลือ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลเงินบริจาคของน้องวีน ประกอบด้วยนายกเทศบาล ผอ.โรงเรียนปัญญาวุธ ตังแทนครู ตัวแทนของครอบครัว โดยตนไม่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องดังกล่าว โดยทุกฝ่ายก็รับปากที่จะดำเนินการกันแล้ว ส่วนเงินยอดบริจาคนั้นในขณะนี้มีเงินที่เข้ามาทางระบบบัญชีประมาณ 8 แสนบาทเศษ ส่วนทางอื่นๆ ตนยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งทุกๆ ฝ่ายตื่นตกใจกับยอดเงินที่มีผู้จิตศรัทธาโอนเข้ามาช่วยเหลือและได้ปรึกษากับนายพิเชษฯในการปิดบัญชีดังกล่าว เพราะเงินจำนวนดังกล่าวสามารถดูแล เยียวยาครอบครัวได้แล้ว

นายสมคิด กล่าวอีกว่า การที่เขามีโทรศัพท์อะไร เขามีโน๊ตบุ๊กไหม มิได้บ่งบอกว่าเขามีเงิน ถ้าเขามีเงินทำไมเขาจึงไม่มาเรียนในตัวจังหวัด ทำไมเขาจึงไม่ไปเรียนที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ เขาเรียน ป.1-2 ที่โรงเรียนวีรนาถศึกษา และไปเรียนที่ขยายโอกาสจนจบ ม.3 แล้วมาเรียนต่อที่โรงเรียนใกล้บ้าน การที่เขามีความพร้อมด้านสมองแต่ไม่ไปเรียนต่อที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเพราะเขาไม่มีเงิน การที่เขาไปซื้อโน๊ตบุ๊กมาใช้เพราะเขาต้องการนำมาค้นคว้าหาความรู้ เพราะโรงเรียนก็ไม่ได้ช่วยเขาทั้งหมด เขาต้องช่วยตัวเองเพราะเขาตั้งใจจะเป็นหมอ จึงต้องใช้สื่อที่ทันสมัย จนทำให้แม่ต้องเป็นหนี้นับแสนหรือมากกว่านั้น ตนจึงขอฝากไปยังทุกฝ่ายว่าเวลาเราจะพิจารณาใครจะต้องพิจารณาให้รอบด้าน อย่าเอาสิ่งที่ปรากฏหรือคนอื่นบอกกล่าว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้มาคิดเอง ส่วนแม่นั้นก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับยอดเงินดังกล่าวแต่อย่างใด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงในขณะนี้สังคมโซเซียลกำลังมุ่งทำลายครอบครัวที่เปราะบางดังกล่าว นายสมคิด กล่าวว่า มิใช่สังคมโซเซียลที่ทำร้ายครอบครัวที่ยากจน แต่เป็นโอกาสของคนที่สร้างโซเซียลขึ้นมาเท่านั้น มีนักเขียนคนหนึ่งเขียนว่าวันนี้คนที่เป็นศาสตรจารย์ที่เก่งๆ มีโอกาสเท่ากับคนโง่คนหนึ่ง คนโง่คนไหนก็ได้ที่มีสื่อในมือมันจะพูดอะไรก็ได้คนจะฟังเขาทั้งหมด เพราะบางครั้งประเด็นของคนโง่น่าทึ่งเสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสื่อแต่เป็นนิสัยของคน ใจของคน ที่มีโอกาสในการแสดงออกถึงความโง่ของเขา คนที่โง่แล้วอวดฉลาดมันน่าสงสารยิ่งนัก

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน