X

ตรัง ‘บิ๊กโจ๊ก’ ปิดคดีตายิงเหลนกับเมียดับ พร้อมเผยนาทีก่อเหตุสลด

‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.ท สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินทางไปยัง สภ.ห้วยยอด จ.ตรัง เพื่อปิดคดียิงสองผัวเมียดับคามุ้ง ฝ่ายคุณตาวัย 70 ปีผู้ต้องหายอมรับก่อเหตุเพราะเหลนและเมีย ตกเป็นทาสยาเสพติด ชอบทำร้ายทุบตีผู้เป็นแม่และญาติพี่น้อง  ก่อนลงมือยิงให้โอกาสผู้ตายกลับตัวกลับใจแต่ผู้ตายไม่ยอมรับ จึงตัดสินใจยิงทิ้งทั้งคู่

บิ๊กโจ๊ก เมื่อเวลา 18.30 น. วันนี้ 29 ส.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.ห้วยยอด จ.ตรัง พล.ต.ท สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปแถลงข่าวเพื่อปิดคดีกรณีที่มีคนร้ายบุกเข้าไปใช้อาวุธปืนจ่อยิงนายสรัลยศ สิทธิโชคหรือหมาก อายุ 29 ปีกับ น.ส. นาถตยา เจ๊กคำหรือเก๋ อายุ 28 ปีสองสามีภรรยาดับคาที่นอนภายในบ้านเลขที่ 243 หมู่ที่ 5 บ้านต้นมะพร้าว ต.บางกุ้ง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา จนกระทั่งมีหลานสาววัย 6 ขวบไปเรียกทั้งสองคนกินข้าวและพบว่ากลายเป็นศพไปแล้ว

ซึ่งคดีนี้ ตำรวจชุดสืบสวนภาค 9 ร่วมกับตำรวจชุดสืบสวนภูธรจ.ตรัง ร่วมกับตำรวจกองปราบกว่า 50 นายได้กระจายกำลังกันออกหาข่าว จนกระทั่งพบพิรุธจากนางอ่อนทิพย์ บุญอ่อน อายุ 52 ปี แม่ของนายหมากผู้ตายที่บอกว่าคืนเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงปืน แต่วันต่อมากลับบอกว่าได้ยินเสียงปืน แต่ไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับจากการไล่ดูภาพจากกล้องวงจรปิดในละแวกใกล้เคียง ไม่พบการเข้า-ออกของคนนอกพื้นที่ จึงเชื่อได้ว่าบุคคลในครอบครัวต้องมีส่วนรู้เห็น  จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุมนายภาคภูมิ นิลปักษีหรือภาส อายุ 70 ปีผู้มีศักดิ์เป็นน้าของแม่นายหมากผู้ตายเป็นคนลงมือก่อเหตุ โดยจับกุมได้เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (28 ส.ค.) ที่บ้านเลขที่ 118 หมู่ 5 ต.บางกุ้ง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 150 เมตร  ซึ่งผุ้ต้องหาวัย 70 ปีได้ให้การรับสารภาพว่า ทำไปเพราะความโกรธแค้นที่ผู้ตายกับภรรยา ตกเป็นทาสยาเสพติด ชอบลักเล็กขโมยน้อยจนเป็นที่เอือมระอาของคนในชุมชน ที่สำคัญคือชอบทำร้ายพ่อแม่และคนในครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน

ก่อนลงมือยิงผู้ตายกับภรรยาของผู้ตาย ผู้ก่อเหตุได้ให้แม่ของผู้ตายและคนในบ้านออกไปงานศพในอำเภอห้วยยอด เพื่อจะได้ไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุจึงเข้าไปถลกมุ้งที่ผู้ตายกับภรรยานอนอยู่ โดยเอาปืน.38 จ่อหัวหลานชาย และเปิดโอกาสให้ผู้ตายรับปากว่าจะกลับตัวกลับใจไม่ตกเป็นทาสยาและไม่ทำร้ายคนในครอบครัวอีก  ซึ่งหากผู้ตายรับปาก ผู้ก่อเหตุก็จะไม่ฆ่าทิ้ง แต่ผู้ตายกลับปฎิเสธไม่ยอมรับข้อเสนอและหาว่าถูกปรักปรำ ทำให้ผู้ต้องหาทนไม่ไหว จึงชักอาวุธปืนออกมายิงหลานชายเข้าที่กลางคิ้วทะลุศีรษะด้านซ้ายจำนวน 2 นัดก่อนจะยิงฝ่ายภรรยาเข้าขมับซ้ายจำนวน 1 นัด โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีก่อนจะเดินกลับบ้านรีบถอดเสื้อผ้าให้ภรรยาของผู้ต้องหารับซักทันที

โดยนายภาคภูมิ นิลปักษี  ผู้ต้องหาได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ตนจะไปถึงไหนช่างหัวมัน ตนแก่แล้ว นึกจะอยู่ก็อยู่ นึกจะไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ซึ่งถ้าตนมีปืนนักข่าวก็ไม่มีการมาสัมภาษณ์ตนได้อย่างแน่นอน ซึ่งตนพูดจากใจ เพราะไม่อยากให้เขาไปสร้างความเดือดร้อนให้ตำรวจเพราะสงสารที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ ส่วนสาเหตุจูงใจคือความโมโห ตนยอมรับว่าเป็นคนใจร้อน ถ้าเรื่องไม่ถูกต้องไม่ได้ ตนเป็นคนจริงไม่ใช่คนบ้า แต่เด็กพวกนั้นมันเหลือขอ เรื่องมันมาก แต่ตนคิดว่าทางภาคใต้ไม่เท่าไหร่ ดูข่าวภาคเหนืออีสานมันสลดถึงหัวใจกับเด็กพวกนี้ ซึ่งปัญหามาจากยาเสพติด หลายครั้งแล้วที่ตนต้องไปตามเคลียร์ เดือนร้อนพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายทุกวันทุกคืน โดยท้าให้ตำรวจสายสืบไปสืบดูพฤติกรรมของหลานคนนี้ของตน

นายภาคภูมิ กล่าวอีกว่า ซึ่งก่อนที่ตนจะยิงหลานคนนี้ตนยังถามเขาอีกว่า ตนไม่ใช่เป็นตาแล้วนะตอนนี้ แต่ตนเป็นยมฑูตแล้ว ให้ผู้ตายรับปากว่าต่อไปจะไม่ทำแล้ว แต่ผู้ตายบอกไม่เคยทำอะไรผิด และถูกปรักปรำตนจึงถามผู้ตายซ้ำอีกครั้งว่าเลิกได้มั้ย และถ้าหากผู้ตายไปแจ้งความว่าตนเอาปืนมาจ่อหัว ตนถือว่าเป็นข้อหาเล็กน้อย คงติดคุกไม่เท่าไหร่ แต่มันหมดปัญญาจริง ๆ จึงลงมือก่อเหตุ เพราะคนอื่นเขาหลบได้ เขาหนีได้ แต่ตนชาติทหารนักรบ ส่วนสาเหตุที่ต้องยิงฝ่ายหญิงเพราะมีพฤติกรรมเหมือนกัน คือลักเล็กขโมยน้อย ซึ่งสอบถามชาวบ้านได้ ซึ่งตนอายุ 70 ปีแล้วเคยบวชมาและล้างมือสะอาดแล้วจึงไม่อยากทำแล้ว แต่ทนไม่ไหวจริง ๆ

สำหรับผู้ต้องหารายนี้ เคยต้องคดีมียาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีน ทำให้ติดคุกนานถึง 30 ปีก่อนจะพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2545  โดยตำรวจได้แจ้ง 3 ข้อหาคือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน,มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองและพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับการอนุญาตหรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน

ด้าน พล.ต.ท สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจเพราะเป็นคดีอุจอาจที่มีการยิงผู้เสียชีวิตถึง 2 ราย แต่ถ้าไปดูปัญหาคือปัญหาเรื่องครอบครัว หรือเรื่องยาเสพติด จากการที่ผู้ตายและภรรยาเสพยาเสพติดตลอด งานการไม่ทำ ลักเล็กขโมยน้อย ทำร้ายร่างกายญาติพี่น้องและทุบตีพ่อแม่ บีบคอแม่ ซึ่งตัวผู้ตายอยู่ระหว่างการบำบัด แต่ญาติทนไม่ไหว น้าทนไม่ไหวจึงใช้วิธีการแบบนี้เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ตำรวจจึงต้องใช้วิธีการแบบใหม่คือกรณีมีเหตุแบบนี้ แล้วตำรวจมีการรับแจ้งเหตุ ตำรวจต้องเข้าไปตรวจสอบทั้งหมด

เพื่อไม่ให้เหตุมันบานปลายต่อ เพราะฉะนั้นในชุมชน ผู้กำกับต้องรู้ สวป.ต้องรู้ว่าบ้านนี้ มีลูกหลานติดยาเสพติด มีการทะเลาะทำร้ายร่างกายพ่อแม่ กำนันผู้ใหญ่บ้านจะต้องมีข้อมูล ตัวตำรวจเช่นผู้กำกับและสวป.จะต้องลงไปดูปัญหาและแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เพียงรับแจ้งว่าเป็นเหตุทำร้ายร่างกายธรรมดา ต้องลงไปดูปัญหาว่าคนติดยาอยู่ในพื้นที่ มีการลักเล็กขโมยน้อย ก็ต้องเอาคนเหล่านี้ออกจากพื้นที่ แล้วเข้าสู่การบำบัด ถ้าปล่อยเหตุการณ์ไปแบบนี้จะเห็นได้ว่า มันจะบานปลาย เหตุเล็กจะกลายเป็นเหตุใหญ่โดยเฉพาะคนใต้ใจร้อน    อย่างไรก็ตามผู้ต้องหายืนยันที่จะไม่ดำเนินการทำเรื่องขอยื่นประกันตัวโดยเด็ดขาด โดยทางพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่จะดำเนินการนำตัวฝากขังตามขบวนการของกฏหมายต่อไป.

 

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน