X

‘รังสิมันต์’ แฉขบวนการค้ามนุษย์ ยกเคส พล.ต.ต.ปวีณ เจอตอต้องลี้ภัย

‘รังสิมันต์ โรม’ พรรคก้าวไกล ชำแหละขบวนการค้ามนุษย์ เชื่อคนใหญ่คนโตในรัฐบาลมีเอี่ยว ยกกรณี “พลตำรวจตรีปวีณ” ตำรวจน้ำดีสืบเจอตอจนต้องขอลี้ภัย

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยกล่าวถึงสถานการณ์การค้ามนุษย์ในไทย ที่เกี่ยวข้องกับนายพล คนใหญ่คนโตในรัฐบาล เคยมีความพยายามปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ที่อาจจะเป็นหนึ่งในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา เอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ตั้งแต่นายหน้า ไปจนถึงที่เป็นทหารระดับสูง กรณีคดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ที่นำทีมสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีโดย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ในช่วงปี 2558 แต่นายตำรวจคนดังกล่าวกลับต้องลี้ภัยระหว่างสอบสวน และ พล.ต.ต.ปวีณ ได้เปิดเผยกับตนถึงการขัดขวางการสอบสวนในครั้งนั้น ไม่ให้สาวถึงต้นตอใหญ่

“การจะเอาคนโรฮิงญาจากยะไข่ลงเรือมาขึ้นบกที่ไทย ขังอยู่ในคอกได้ตั้งนาน ลำพังแค่อาชญากรทั่วไปทำไม่ได้ ถ้าไม่มีอาชญากรในเครื่องแบบร่วมด้วย ซึ่งคุณปวีณก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยการสืบสาวไปถึงนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจและทหารหลายนาย โดยชื่อใหญ่สุดที่ตามจับได้คือ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่น 16 คุณปวีณทำคดีได้ขนาดนี้จึงไม่แปลกที่ไทยจะถูกเพิ่มระดับใน TIP Report ขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะเมื่อมีคนกล้าออกมาปราบปรามอย่างจริงจังขนาดนี้ คนที่คิดก่อการชั่วร้ายก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จะเคลื่อนไหวอะไรก็ลำบากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลนี้ก็เอามาเคลมเป็นผลงานของตัวเอง แต่แล้วชะตากรรมของเจ้าของผลงานตัวจริงอย่างคุณปวีณกลับต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ เปิดเผยรายละเอียดการขัดขวางการสอบสวน อันนำไปสู่การลี้ภัยของ พล.ต.ต. ปวีณ ผ่านเอกสาร Statutory Declaration หรือคำให้การของ พล.ต.ต. ปวีณ ต่อทางการของประเทศออสเตรเลียเพื่อใช้ในการขอลี้ภัย ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภา 2558 พล.ต.ต. ปวีณในฐานะที่เป็นนายตำรวจมือฉมัง ถูกมอบหมายให้มาทำคดีนี้ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากตำรวจที่รับผิดชอบคดีอยู่ คือ พล.ต.ต. ด.เด็ก, พ.ต.อ. อ.อ่าง และ พ.ต.อ. ฉ.ฉิ่ง ขอข้อมูลก็ถูกปฏิเสธ จนต้องขยายผลเอง ต่อมามีการค้นบ้านพักกลุ่มผู้ต้องหาในจังหวัดระนอง ที่มี พ.ต.อ. อ.อ่าง เป็นหัวหน้าชุดตรวจค้น พบหลักฐานการโอนเงินของผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ โอนไปให้ พล.ท.มนัส คงแป้น โดยมีรายการธุรกรรมเป็นวงเงินถึง 14 ล้านบาท หลักฐานชิ้นนี้ พล.ต.ต. ปวีณก็เพิ่งมารู้ทีหลังจากนักข่าว เพราะ พ.ต.อ. อ.อ่าง ที่เป็นหัวหน้าชุดตรวจค้นไม่ยอมส่งหลักฐานให้



“เมื่อออกหมายจับแล้ว มีผู้ต้องหาทยอยมอบตัว เช่น ปัจจุบัน อังโชติพันธ์ หรือโกโต้ง อดีตนายก อบจ. สตูล ที่เลือกไปมอบตัวกับ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ดูพื้นที่สงขลาและสตูลมาก่อน ส่วนกรณี พล.ท.มนัส หลังออกหมายจับไม่กี่วัน พล.ต.ต. ปวีณ ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากนายตำรวจคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร คนหนึ่ง อ้างว่า พล.อ.ประวิตร ต้องการเห็น พล.ท.มนัสถูกปล่อยตัว ขอให้อนุญาตให้มีการประกันตัวพล.ท. มนัส หลังจากสายนั้น พล.ท.มนัสได้มามอบตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ในขณะนั้นถึงที่กรุงเทพฯ เมื่อมาถึง ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถึงกับจัดเครื่องบิน ส่งตัวตรงจากกรุงเทพฯ มาควบคุมตัวไว้ที่หาดใหญ่ และเมื่อ พล.ท.มนัสทราบว่าพนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว ก็ไม่พอใจ อ้างว่า ผบ.ตร. อนุญาตให้ประกันตัวแล้ว เรื่องนี้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. ในขณะนั้น ได้เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ บอกเล่าเช่นกันว่าได้ยิน พล.ต.อ.สมยศ พูดกับ พล.ท.มนัสว่า ‘เราเป็นพี่เป็นน้องกัน จะให้ความเป็นธรรม สอบสวนปากคำเสร็จแล้วจะให้ประกันตัวไป’ แล้วพอไม่ได้ประกัน พล.ท.มนัสก็มาโวยวายว่า ‘กูโดนหลอก ผบ.ตร. จะให้ประกันตัว แต่ไอ้รองเอกคัดค้านไม่ให้การประกันตัว’ และความน่าสนใจก็คือ พล.ต.อ.สมยศ เรียนเตรียมทหารรุ่น 15 พล.ท.มนัสเรียนรุ่น 16 ก็เป็นพี่น้องกันจริงๆ การที่ได้ไปมอบตัวกับ ผบ.ตร. เองเลยนั้น ถ้าเป็นอาชญากรทั่วไปคงไม่ได้รับเกียรติแบบนี้ นอกจากนี้การที่ ผบ.ตร. รวมถึง พล.อ. ประวิตร ต้องการให้ พล.ท.มนัส ได้ประกันตัว ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามที่แสดงให้เห็นว่าพวกท่านไม่เคารพกฎหมาย ใช้เส้นสายช่วยเหลือพวกพ้อง เพราะอันที่จริงคดีลักษณะนี้เป็นการกระทำนอกราชอาณาจักรด้วย ซึ่งตามกฎหมาย คนที่จะสั่งให้หรือไม่ให้ประกันได้ก็คืออัยการสูงสุด ไม่ใช่ ผบ.ตร. และไม่ใช่รองนายกรัฐมนตรี” นายรังสิมันต์ กล่าว

ต่อมา ในวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่มี พล.อ.ประวิตรนั่งเป็นประธาน ได้สั่งย้าย พล.ต.ต. ปวีณ จากรองผู้บัญชาการภาค 8 ไปรักษาราชการอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าคือ “ใบสั่งตาย”

“ในฐานะที่คุณปวีณเป็นผู้รับผิดชอบทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา การส่งไปชายแดนใต้ที่เป็นพื้นที่ซึ่งขบวนการค้ามนุษย์มีเครือข่ายอยู่อย่างหนาแน่น และที่สำคัญคือเป็นเขตอิทธิพลของทหาร ใช้ทั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคง ใช้ทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้ทั้งกฎอัยการศึก ในพื้นที่แบบนี้จึงเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาผู้เสียผลประโยชน์จากการทำคดีของคุณปวีณจะหมายเอาคืน การมีมติย้ายคุณปวีณเช่นนี้ เห็นได้เป็นอย่างเดียวคือ พล.อ.ประวิตรต้องการให้คุณปวีณจบชีวิตที่นั่น ใช่หรือไม่? มากไปกว่านั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. คนใหม่ในเวลานั้น วันที่ 2 พฤศจิกา 58 หลังสั่งย้ายคุณปวีณไม่นาน อ้างว่าได้รับการแนะนำมาจากผู้บัญชาการภาค 8 คือ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ให้ย้ายไปชายแดนใต้เพราะเห็นว่า คุณปวีณเชี่ยวชาญด้านคดีความมั่นคง แต่ต่อมาแค่เดือนเดียว หลังมีเรื่องคุณปวีณลี้ภัยแล้ว พล.ต.ท.เทศา กลับออกมากล่าวอ้างว่า ที่ไม่เอาคุณปวีณเพราะไม่มีวินัย ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ตกลงว่าที่ย้าย ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องความสามารถใช่ไหม? แล้วตัว พล.ต.ท.เทศา คือเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร ตท.16 ของ พล.ท.มนัส อีกคนหนึ่ง สรุปแล้วนี่คือการรวมหัวกันหาข้ออ้างอะไรก็ได้ เพื่อเอาคนที่ทำกับพวกตัวเองไปตาย อย่างนั้นใช่มั้ย? พล.อ.ประวิตรที่นั่งประธาน ก.ตร. เคยรู้เรื่องนี้บ้างไหม? คุณปวีณเคยพยายามขอผู้บังคับบัญชาให้ทบทวนคำสั่งย้าย แต่ก็ได้รับคำตอบจาก ผบ.ตร. ว่ายืนยันตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งที่เคยขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ทบทวนคำสั่ง ก็ได้รับคำตอบเดิมว่ายืนยันให้ย้าย นั่นจึงนำมาสู่การยื่นใบลาออกของคุณปวีณเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกา 2558” นายรังสิมันต์ กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ตนมีโอกาสพูดคุยกับ พล.ต.ต. ปวีณเป็นการส่วนตัว เขาบอกว่าคดีนี้ยังมีอะไรให้สืบสวนได้อีกมาก ขบวนการค้ามนุษย์ขนาดใหญ่ที่ต้องขนคนจำนวนมากลงเรือเข้าน่านน้ำไทย แต่จับตัวทหารเรือ ยศแค่นาวาโท ได้คนเดียว ทหารบกนอกจาก พล.ท.มนัส ก็มียศพันเอกแค่คนเดียว ยศนายร้อยอีกแค่ 2 คน มันเป็นไปได้จริงๆ หรือ ที่เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนแค่นี้จะก่อการใหญ่ขนาดทั่วพื้นที่ภาคใต้ได้ เชื่อจริงๆ หรือว่ามีนาวาโทคุมทั้งทะเลอันดามันอยู่แค่คนเดียว พล.ต.ต. ปวีณบอกว่าถ้าได้สืบคดีต่อไป รับรองว่าอย่างน้อยสุดทัพเรือภาค 3 ได้ละลายทั้งภาค หรือแม้แต่บ้านของ พล.ท.มนัส ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการเข้าไปขยายผลค้นหาหลักฐานอะไรเลย ซึ่งน่าคิดว่า แท้จริงแล้วยังมีทหารเรือนายอื่น ทหารบกนายอื่น ร่วมสมคบด้วยหรือไม่? แท้จริงแล้วก็สนับสนุนกันทั้งกองทัพเลยหรือไม่? ทุกวันนี้ที่หลายคนอาจตั้งคำถามว่าพวกทหารนั้นรวยจากอะไร นี่คือสาเหตุหรือเปล่า? แท้จริงแล้วยังมีใครที่ใหญ่กว่า สูงกว่าคนอย่าง พล.ท.มนัสหรือไม่? แท้จริงแล้วมีคนในรัฐบาล มีคนที่นั่งรอชี้แจงอยู่ในสภาตอนนี้ มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่? การขัดขวางการสอบสวนของทีม พล.ต.ต. ปวีณที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็เพื่อตัดตอนคดีนี้ ไม่ให้สาวไปได้ไกลกว่า พล.ท.มนัส ที่ปัจจุบันก็เสียชีวิตอย่างปริศนาในเรือนจำ ซัดทอดอะไรไม่ได้อีก อย่างนั้นใช่หรือไม่? ทั้งนี้ คนที่เคยอยู่ร่วมห้องขังกับ พล.ท.มนัส เล่าให้ตนฟังว่า พล.ท.มนัส มักพูดถึงสาเหตุที่ตัวเองถูกจับว่า ‘ตอนทำก็รับผลประโยชน์กันทุกคน ตอนโดนทำไมกูโดนคนเดียว ถ้าออกไปได้จะเอาคืนให้หมด’ ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเหตุให้ พล.ท.มนัส ที่แข็งแรงสุขภาพดีมาตลอด จู่ๆ ก็หัวใจวายตายไป อย่างนั้นหรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร พอทราบสาเหตุหรือไม่?

รังสิมันต์ ระบุต่อไปว่า ไม่กี่วันหลังจากคุณปวีณยื่นใบลาออกก็ได้รับสายโทรศัพท์จากตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในแวดวงชั้นสูง ชื่อ พล.ต.ท. ฐ.ฐาน ที่ได้อ้างว่าเบื้องบนของเขาอีกทีหนึ่ง ได้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เสียดายหากจะลาออก ต่อมาคุณปวีณก็ได้เรียนสายกับนายทหารใหญ่อีกคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในแวดวงชั้นสูงเช่นกัน ชื่อ พล.อ. จ.จาน แต่ยศขณะนั้นคือ พล.ท. เอ่ยปากชมคุณปวีณดิบดี พร้อมทั้งช่วยยืนยันอีกเสียงว่าการย้ายไปภาคใต้นั้นไม่ต่างอะไรจากการส่งไปตาย ผลการติดต่อพูดคุยกันครั้งนั้น นำพาคุณปวีณได้พบกับ พล.อ.อ. ส.เสือ ข้าราชการชั้นสูงเบอร์ต้นๆ คนหนึ่งของประเทศนี้ ที่ได้เสนอให้คุณปวีณไปทำเรื่องถอนใบลาออกกับ ผบ.ตร. แล้วมาทำงานกับเขา ถึงกับส่งใบสมัครมาให้ล่วงหน้า เป็นใบสมัครพิเศษที่จะส่งให้เฉพาะคนที่ถูกจับตามองและเลือกเข้าไปทำงานในหน่วยพิเศษที่สูงมาก ๆ ชื่อย่อหน่วยว่า สนง.นรป.904 และเมื่อคุยกันแล้ว พล.อ.อ. ส.เสือ ให้ตัวเลือกคุณปวีณว่า 1.จะทำงานกับเขา หรือ 2. จะไปดูคดีค้ามนุษย์ต่อไปในสังกัดกองบัญชาการสอบสวนกลาง นอกจากนี้ยังมีนายตำรวจระดับสูงอีกคนหนึ่งที่อยู่ในที่นัดพบด้วย คือ พล.ต.อ. จ.จาน ซึ่งคนละคนกับ จ.จาน ที่พูดถึงทีแรก พล.ต.อ. จ.จาน คนนี้ให้ตัวเลือกที่ 3 มาด้วยคือ ลาออกแล้วอยู่เงียบๆ ไป

“คุณปวีณให้การว่าในเวลานั้นเขาเชื่อจริง ๆ ว่า ตัวเองได้รับสิทธิให้เลือกที่จะรับผิดชอบคดีค้ามนุษย์ในฐานะตำรวจต่อไป เขาเชื่อจริงๆ ว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้เห็นความสำคัญของการปราบปรามการค้ามนุษย์โดยที่พร้อมจะปกป้องคุ้มครองตัวเขาในการปฏิบัติหน้าที่ คุณปวีณจึงแจ้งความประสงค์นี้กับ พล.อ.อ. ส.เสือ และไปทำหนังสือขอถอนใบลาออกกับ ผบ.ตร. ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี ทว่าในคืนเดียวกันนั้น คุณปวีนรับสายโทรศัพท์เรียกให้ไปพบ ผบ.ตร. ในวันถัดไป ซึ่งเมื่อได้ไปพบก็ปรากฏว่า ผบ.ตร. พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวกับคุณปวีณว่า ‘พี่กับผมไม่มีอะไรกันนะครับ พี่ต้องลาออก แล้วอยู่เงียบๆ’ จากนั้นก็ต่อสายถึง พล.ต.อ. จ.จาน ซึ่งก็คือ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ที่ยืนยันเช่นเดียวกันว่าให้ลาออกแล้วอยู่เงียบๆ ไป นี่คือบทสรุปที่ทำให้คุณปวีณไม่สามารถไว้วางใจผู้บังคับบัญชาและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนไหนได้อีกแล้ว ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าการเลือกของตัวเองนั้นจะไม่กลายเป็นชนวนเหตุให้ถูกยัดคดีร้ายแรงอย่างมาตรา 112 ยิ่งในช่วงเวลานั้น เกิดกรณีหมอหยองและพวกเสียชีวิตปริศนาในเรือนจำ ก็ยิ่งไม่อาจรับรองได้เลยว่าชีวิตของเขานั้นจะไม่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน และนั่นทำให้คุณปวีณตัดสินใจลี้ภัยออกนอกประเทศไปเมื่อคืนวันที่ 16 พฤศจิกา 58 วันเดียวกับที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ แถลงอนุมัติการลาออกของเขานั่นเอง” รังสิมันต์ กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนขอถามตรง ๆ ว่านี่คือผลลัพธ์แบบเดียวกันกับตำรวจ 96 นายที่ปฏิเสธไม่ย้ายสังกัดไปเป็นตำรวจราบใช่หรือไม่? หรือว่าเป็นด้านตรงข้ามของคนที่ได้ตั๋วช้าง คนใดใช้วิชามารก็จะได้ดี ส่วนใครแม้ซื่อตรงต่อหน้าที่ แต่ไม่รู้จักเกาะขอบโต๊ะชนชั้นสูง ก็ต้องฉิบหายวายวอดกันไป ใช่หรือไม่? นี่คือผลลัพธ์ของการที่ใครสักคนหนึ่งปฏิเสธข้อเสนออย่างนั้นใช่หรือไม่? พล.ต.ต. ปวีณ นี่แหละคือคนที่จริงจังที่สุดในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ ขนาดว่าถูกขัดขวาง ถูกข่มขู่ ก็ยืนยันเอาผิดกับคนที่มันผิดต่อไป และสิ่งที่เขาทำมันช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศได้จริง ช่วยให้ประเทศลดความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรเพราะประเด็นสิทธิมนุษยชน และที่สำคัญที่สุดคือมันช่วยให้ใครอีกหลายๆ คนไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ในอนาคต คนแบบนี้แหละที่ต้องส่งเสริมให้ได้ดิบได้ดี ได้ทำงานที่เขาคู่ควร ได้เกษียณอย่างสงบสุข แต่ภายใต้รัฐบาลนี้ คนแบบนี้กลับต้องลี้ภัย แล้วทุกวันนี้ก็ไม่ได้สุขสบายเลย จากมือปราบเบอร์ต้น ๆ กลับต้องไปทำงานใช้แรงงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้าประเทศนี้มันประกันความปลอดภัยได้จริง เขาไม่ต้องออกไปลำบากตั้งแต่แรก สาเหตุที่แท้จริงที่รัฐบาลนี้ไม่ส่งเสริมให้คนอย่าง พล.ต.ต. ปวีณ ได้ทำงาน ก็เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วผู้ค้ามนุษย์ตัวใหญ่ตัวจริงมันก็ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ อยู่ในทำเนียบ อยู่ในกระทรวง หรืออาจกำลังอยู่ในสภาขณะนี้ก็เป็นได้ อย่างนั้นใช่หรือไม่? และถ้าขืนยอมให้คนจริงเข้าพุ่งชนปัญหาอย่างจังๆ ก็คงกลัวว่าจะสืบสาวราวเรื่องไปได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะสูงขึ้นไปยิ่งกว่าคนในกระทรวง ในทำเนียบด้วยซ้ำ

“จริงอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถึงที่สุดนี่ก็ยังเป็นความอยุติธรรมที่ยังไม่สิ้นสุดอย่างที่ใครบางคนพยายามทำให้เชื่อว่ามันสิ้นสุดแล้ว เป็นความอยุติธรรมที่ทำให้ขบวนการที่ไร้สำนึกความเป็นคนยังหากินกับชีวิตของคนอื่น เป็นความอยุติธรรมที่ทำให้คนชั่ว ๆ ได้ดี คนดี ๆ ต้องลี้ภัย มากไปกว่าปัญหาการค้ามนุษย์ นี่คือปัญหาของรัฐบาลนี้ ที่ยังธำรงไว้ซึ่งระบบที่ทำลายล้างคนซื่อสัตย์ ทำลายล้างคนตรงไปตรงมา ทำลายล้างคนที่กล้าสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้ประเทศนี้ดียิ่งขึ้น เปลี่ยนคนทำดีให้หันมาประพฤติชั่ว เปลี่ยนคนกล้าให้กลัวหัวหด ระบอบปรสิตเช่นนี้ถ้าไม่รีบเอาออก ถ้าไม่รีบเอารัฐบาลที่สนับสนุนมันออก มันจะกัดกินทั้งคนทำงาน และประชาชนทุกคนจนไม่เหลือชิ้นดี เพราะฉะนั้น ผมขอฝากถึงพี่น้องประชาชน พี่น้องผู้ประกอบการทั้งหลาย หากพวกท่านรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้เลิกสนับสนุนรัฐบาล ขอให้เลิกเลี้ยงดูรัฐบาลนี้ และถ้าหากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล เราจะไม่ปล่อยให้การค้ามนุษย์เฟื่องฟูอยู่อย่างนี้ และจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิดต้องค่อยๆ มีชีวิตกลายเป็นผุยผง อย่างที่คุณปวีณต้องประสบพบเจออย่างแน่นอน” รังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้าย

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ณัฐพงศ์ มาลี

ณัฐพงศ์ มาลี

โอปอ ณัฐพงศ์ มาลี ผู้สื่อข่าวอิสระ เกาะติดข่าวสารเพื่อประชาธิปไตย รายงานสถานการณ์ความเคลื่อนไหวภาคประชาชน