X

สองแม่ลูกร้องสื่อถูกหลอกมีคนจะช่วยเหลือคนจน พอมารู้อีกทีเป็นหนี้เกือบ 4 แสน

สองแม่ลูกร้องสื่อถูกหลอกมีคนจะช่วยเหลือคนจน พอมารู้อีกทีเป็นหนี้เกือบ 4 แสนเพราะความไม่รู้หนังสือ

เวลา 09.30 น.วันที่ 14 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับหาร้องขอให้ช่วยเหลือนำเสนอข่าวจากสองมาลูกซึ่งมีอาชีพขายพัดไม้ไผ่สานตามงานวัดเช่าบ้านอยู่บริเวณซุ้มประตูทางเข้าวัดสังกัสรัตนคีรี หรือหลังโรงเรียนพุทธมงคลวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี จึงเข้าไปหาสองแม่ลูกที่ร้องทุกข์ โดยนางจงจิตร ยังกรุงเก่า อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้มารอผู้สื่อข่าวเพื่อเล่ารายละเอียดเรื่องทั้งหมดให้ฟังถึงเรื่องนี้ นางจงจิตรบอกว่าเมื่อปีที่แล้วมีนางสาวสุชาดา เสนคำหอมซึ่งอ้างว่าเป็นนายกสโมสรไลอ้อน (สโมสรไลอ้อนคาดว่าจะไม่รู้เรื่องเพราะเป็นการอ้างถึงให้น่าเชื่อถือ) และเป็นภรรยาของเถ้าแก่โรงสีแห่งที่ชื่อโรงสีฮวก มาถึงบริเวณหน้าบ้านแล้วบอกว่าบอกว่าจะมาหาคนยากคนจนเพื่อช่วยเหลือโดยการพาไปทำเรื่องขอเงินคนจนจะให้รายละ 2 แสนบาทที่กรุงเทพให้ชักชวนคนที่มีฐานะยากจนไปกันเพื่อนเรื่อง จึงไปกัน 3 คนพร้อมกันที่กรุงเทพเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่ไปถึงแล้วทางนางสาวสุชาดา ผู้ชักชวนนั้นก็ขอบัตรประชาชนทั้งสามคนแล้วอ้างว่าขอนำไปตรวจว่าจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ซึ่งหลังจากนั้นนางสาวสุชาดากลับมาแล้วบอกว่าทางนางจงจิตรนั้นไม่ผ่านการคัดเลือกแต่อีกสองคนที่มาด้วยกันนั้นผ่านแล้วสามารถทำเรื่องร้องขอได้ซึ่งมีไปกันอีกหลายคนที่ไปทำเรื่องร้องขอเงินช่วยเหลือนี้

 

นางฉวี สุขน้ำมัน อายุ 65 ปี บ้านเลขที่ 37/6 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งได้ไปกับนางจงจิตรด้วยได้เปิดเผยว่าได้เช่าบ้านบริเวณดังกล่าวมาเป็น 10 ปีแล้วไม่มีบ้านเป็นของตัวเองในราคาเช่า 1,100 บาทและอยู่ด้วยกันกับลูกสาวซึ่งเช่าอยู่ห้องถัดไปโดยสภาพบ้านเช่าเป็นห้องไม้เก่าและคับแคบและรกไปด้วยข้าวของแล้วก็สกปรกมากซึ่งห้องน้ำนั้นก็ใช้ไม่ได้ นางฉวีบอกว่าก่อนหน้านี้มีสามีอยู่ด้วยแต่ด้วยสามีป่วยติดเตียงด้วยความชราจึงเสียชีวิตไปอยู่กับลูกสาวสองคนอุทัยธานี มีอาชีพขายพัดสานด้วยไม้ไผ่ตามงานวัดซึ่งตั้งแต่มีสามีกับลูกไม่มีที่ดินแล้วก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นของตัวเองเลยเพราะด้วยความยากจนตั้งแต่เกิด พอรู้ว่าจะมีคนช่วยเหลือคนยากจนก็ได้ไปกันกับลูกสาวก็คือนางสาวน้ำอ้อย พวงสายทอง อายุ 46 ปี ก็เพราะว่ามีความหวังว่าจะได้เงิน 2 แสนบาทรวมกับลูกสาวด้วยก็เป็นเงิน 4 แสนบาทมาจุนเจือครอบครัวจริงๆ จะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปเรียกได้ว่าความยากจนนี่แหละที่เป็นชนวนเหตุในการไปกรุงเทพแล้วทำเรื่องขอความช่วยเหลือนี้ โดยนางสาวสุชาดา คนที่บอกว่าจะช่วยเหลือนัดเจอแถวนวนครซึ่งไปถึง 2 ครั้งในครั้งแรกนั้นไปเพื่อนำบัตรประชาชนไปเช็คว่าผ่านเรื่องหรือเปล่าและครั้งที่สองหลังจากที่ผ่านแล้วไปทำการสแกนใบหน้า จากนั้นนางสาวสุชาดาก็บอกว่าเดี๋ยวรอเรื่องเอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่กำลังจัดเตรียมแล้วก็เซ็นต์เอกสารแล้วรอการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จ จากมานั้นพอได้เซ็นต์เอกสารเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งลูกสาวหรือนางสาวน้ำอ้อยและนางจงจิตรเพื่อนบ้านก็กลับมายังจังหวัดอุทัยธานีซึ่งทางนางสุชาดาบอกว่าจะมีเงินค่อยทยอยโอนให้มาในบัญชีธนาคาร ซึ่งก็มีเงินโอนมาจริงโดยครั้งแรกเงินเข้าบัญชีของนางฉวี ครั้งแรกมีเงินโอนมาจำนวน 3,000 บาทเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วแล้วหลังจากนั้นอาทิตย์กว่าส่งมาให้ครั้งที่สองจำนวน 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 8,000 บาทและส่วนของนางสาวน้ำอ้อยนั้นมีเงินโอนเข้าบัญชีมาครั้งแรก 3,000 บาท ครั้งที่สอง 2,000 บาท พอหลังจากนั้นมาก็มีหนังสือทวงหนี้ของธนาคารกสิกรบอกว่านางฉวีนั้นต้องชดใช้หนี้สินที่กู้ยืมทางธนาคารมาเป็นเงิน 310,000 บาทส่วนลูกสาวหรือนางสาวน้ำอ้อยนั้นทางธนาคารเคยมีหนังสือแจ้งเตือนมาบอกว่าเป็นหนี้อยู่ 180,000 บาทแล้วยังมีหนังสือของบริษัททนายที่ทางธนาคารกสิการเป็นผู้จ้างให้นางฉวีนั้นต้องใช้หนี้ที่ทำเรื่องกู้มาอีกด้วย ซึ่งทั้งสองก็ทั้งตกใจและพอมารู้อีกทีก็ถูกหลอกเสียแล้วและด้วยความที่ทั้งสองอ่านหนังสือไม่ออกแล้วก็เซ็นต์เอกสารไปโดยที่มีความหวังว่าทางนางสาวสุชาดานั้นจะช่วยเหลือจริงๆ โดยทั้งสองแม่ลูกนั้นเป็นทุกข์มากก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่สามีป่วยนั้นนางฉวีและลูกสาวนั้นก็ต้องมาดูแลจึงไม่ไอ้ออกทำงานขายพัดจึงทำเรื่องกู้สหกรณ์การเกษตรไว้เป็นเงิน 180,000 บาทซึ่งเป็นหนี้ที่กู้มาแบบถูกต้องแต่ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเงินส่งอยู่แล้วแต่กลับมาโดนเรื่องนี้อีก

ซึ่งทั้งสองแม่ลูกบอกว่าเคยได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้วแต่ทางตำรวจบอกว่าอย่าแจ้งเลยหากเป็นคดีความป้าและลูกสาวก็ไม่ชนะอย่างแน่นอน และกลัวว่าทางนางสาวสุชาดานั้นจะฟ้องกลับอย่างแน่นอน จึงได้ติดต่อกับทางผู้สื่อข่าวขอให้นำเสนอข่าวในเรื่องราวของตนเพื่อให้สังคมภายนอกเห็นแล้วอาจจะมีคนที่รู้กฎหมายเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งในตอนนี้ยอมรับว่ากลัวมากหากถูกดำเนินคดีติดคุกไปก็ต้องเสียชีวิตคาคุกหรือเรียกว่าตายคาคุกอย่างแน่นอน เพราะไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ที่ตัวเองนั้นถูกหลอกไม่เพียงเท่านั้นทั้งสองคนแม่ลูกนั้นรักษาอาการทางประสาทอยู่หรือมีโรคประจำตัวป่วยเป็นจิตเวชนั่นเองแล้วเงินที่โอนให้สองแม่ลูกในทีแรกนั้นเชื่อว่าเป็นการให้ทั้งสองแม่ลูกตายใจในการหลอกและในตอนนี้นางสาวสุชาดานั้นก็ยังติดต่อได้โดนทั้งสองแม่ลูกก็โทรไปหาแต่บอกว่าไม่ขอชดใช้อะไรในเรื่องนี้แล้วก็บอกว่ากำลังลำบากเหมือนกัน

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

นันทศักดิ์ วัฒนพานิช

นันทศักดิ์ วัฒนพานิช

ผู้สื่อข่าว 77 ข่าวเด็ด ประจำ จ.อุทัยธานี