X

ชาวเกาะลิบง ร้องเดือดร้อน เจ้าท่าเรียกเก็บค่าสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ ชี้ไม่ได้สร้างบ้านรุก แต่คลื่นซัดเข้าที่ดินกรรมสิทธิ์

ตรัง – ชาวบ้านชุมชนชายฝั่ง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง กว่า 200 ครัวเรือน ร้องเดือดร้อนจากการเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำแสนแพง พิลึกค่าปรับรายปีเท่ากับเงินต้นค่าตอบแทนฯรายปี ระบุการก่อสร้างบ้านไม่ได้รุกล้ำลำน้ำ แต่ถูกคลื่นซัดจนผืนทรายหายไป ทำให้น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งจนเข้ามาถึงที่ดินกรรมสิทธิ์ พร้อมยื่นหนังสือผ่าน ส.ส.จ.ตรัง  เรียกร้องขอกำหนดพื้นที่เป็นชุมชนดั้งเดิมเช่นเดียวกับเกาะปันหยี  เพราะบริบทพื้นที่และอยู่อาศัยกันมาหลายชั่วอายุคนเหมือนกันและส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชน

ที่ห้องประชุมท่าเทียบเรือหาดยาว ต.เกาะลิบง อ.กันตัง  ชาวบ้านพร้อมด้วยประธานชมรมประมงพื้นบ้านจ.ตรัง เครือข่ายภาคประชาสังคม ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนา เข้าร้องเรียนต่อนายนิพันธ์ ศิริธร  ส.ส.ตรัง เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ช่วยเหลือกรณีกรมเจ้าท่าเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และค่าปรับอีกเท่าตัว ตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย โดยเจ้าท่าระบุว่าชาวบ้านอยู่หลังปี 2515 จึงต้องเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนฯ รายปี  แต่ทางชาวบ้านและตัวแทนระบุชุมชนชายฝั่ง ต.เกาะลิบง เป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่อาศัยกันมาหลายชั่วอายุคนประมาณ 200 – 300  ปี  การก่อสร้างบ้านสมัยก่อนไม่ได้รุกล้ำลำน้ำ แต่ถูกคลื่นซัดจนผืนทรายหายไป ทำให้น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งจนเข้ามาถึงที่ดินกรรมสิทธิ์ดั้งเดิมที่ได้รับเป็นมรดกตกทอด และมาถึงตัวบ้านและสิ่งปลูกสร้างของชาวบ้านทั้งเก่าและใหม่ที่สร้างทดแทนบ้านหลังเดิม หรือสร้างในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์  โดยขอให้ทางส.ส.นำปัญหาไปผลักดันให้ชุมชนเกาะลิบงเป็นชุมชนดั้งเดิมเช่นเดียวกับเกาะปันหยีจะได้ยกเว้นการจัดเก็บค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำเหมือนชุมชนเกาะปันหยี   เพราะบริบทพื้นที่ อาชีพ และสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนอยู่อาศัยกันมาหลายชั่วอายุคนเหมือนกัน  โดยการจัดเก็บค่าตอบแทนฯดังกล่าว เป็นการปิดกั้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนและการทำอาชีพของประชาชน  ทั้งนี้ ชาวบ้านไม่มีเงินจ่าย เพราะทำประมงไม่ได้มีรายได้ทุกวัน ถ้าเป็นช่วงมรสุมก็ต้องหยุดยาว การเรียกเก็บเงินดังกล่าวเท่ากับชาวบ้านมาจ่ายค่าเช่าบ้านในที่ดินของตนเอง

 

ในที่นี้ นายนิพันธ์  ศิริธร ส.ส.ตรัง เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ  กล่าวหลังรับหนังสือว่าปัญหาของชาวบ้านมีทั้งหมด 3 เรื่อง คือ ปัญหาการจัดเก็บค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำของกรมเจ้าท่า เบื้องต้น ให้ อบต.เกาะลิบง เร่งประชุมสภารับรองความเป็นสภาพชุมชนดั้งเดิมไป ส่วนตัวจะไปเร่งผลักดันให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับกรมเจ้าท่ากำหนดให้เกาะลิบงเป็นชุมชนดั้งเดิมต่อไป  และ2.การทำมาหากินในประมงชายฝั่งของชาวบ้าน เช่น กระชังสัตว์น้ำ ต้องขออนุญาตทำประมงถึง  4 หน่วยงาน ทั้งขอต่อเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ,  กรมเจ้าท่า ,กรมอุทยาน, และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทำให้ยุ่งยาก ชาวบ้านเดือดร้อนมากในการทำกิน ซึ่งเรื่องนี้จะไปแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งรัฐบาลไปกำหนดเป็นนโยบายการแก้ปัญหาต่อไป และ 3. เรื่องปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขบนเกาะลิบง

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่เกาะลิบง  ซึ่งพบว่าชาวบ้านชุมชนชายฝั่ง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง กว่า 200 ครัวเรือน เดือดร้อนอย่างหนักจากการที่กรมเจ้าท่าเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ  โดยกรมเจ้าท่าได้ส่งรายชื่อชาวบ้านปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในตำบลเกาะลิบง เพื่อให้องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะลิบง ดำเนินการจัดเก็บค่าตอบแทนการปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในราคาตารางเมตรละ 5 บาท โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคาร หรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำน้ำ ( ในที่นี้รวมทั้งสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งกระชังสัตว์น้ำ)  ตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 117 มีผลบังคับใช้ ให้เสียค่าตอบแทนในวันที่ได้รับอนุญาต  สำหรับปีต่อไปให้เสียค่าตอบแทนไม่เกินวันที่ครบกำหนดรอบปี นับแต่วันดังกล่าว  และในกรณีที่ไม่ชำระค่าตอบแทนตามที่กำหนดในกฎกระทรวงดังกล่าว ให้เสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของเงินค่าตอบแทนที่ค้างชำระนั้น  และในปี 2562 – 2564 มีการระบาดของเชื้อโควิด -19 จึงทำให้มีการเรียกเก็บเงินย้อนหลัง พร้อมค่าปรับรายปีดังกล่าว  เท่ากับแต่ละรายต้องจ่ายเป็น 2 เท่าของทุกปี  ซึ่งแต่ละรายจะต้องจ่ายค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ของสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่ครอบครอง  โดยแต่ละรายถูกเรียกเก็บย้อนหลังรวมประมาณรายละ 2,000 – 8,000 บาท

เช่นนางสาวอับสะ สารสิทธิ์ (สวมหมวกปีกสีดำยืนหน้าบ้านและเข้าไปดูภาพถ่ายในบ้าน)  อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 4 มีพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่ 4 ต.เกาะลิบง  ถูกเรียกเก็บเงินค่าตอบแทน ปี 2563 -2564 ปีละ 620 บาท ค่าปรับปีละ 620 บาท รวมค้าง 2 ปี  รวมถูกเรียกเก็บเป็นเงิน  2,480 บาท

โดยชาวบ้านบอกว่า ค่าตอบแทนและค่าปรับแพงมหาโหด โดยที่ทุกคนบอกว่า  พวกตนเองอยู่อาศัยกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายประมาณ 200 -300 ปีถือเป็นชุนชนดั้งเดิม โดยบ้านเรือนสมัยก่อนไม่ได้สร้างในน้ำมีต้นมะพร้าวขึ้นจำนวนมาก  และสะพานท่าเรือบ้านบาตูปูเต๊ะก็ยังไม่ได้สร้างในจุดปัจจุบัน แต่ต่อมาถูกการก่อสร้าง และคลื่นกัดเซาะชายฝั่งทำให้ทรายหายไป ต้นมะพร้าวหายไป จนกระทั่งน้ำทะเลลึกเข้ามาถึงพื้นที่ตั้งบ้านเรือน ซึ่งบ้านเรือนส่วนหนึ่งพังเสียหาย แต่ชาวบ้านยากจนไม่ได้สร้างหรือซ่อมแซมรักษาสภาพ แต่เมื่อมีเงินก็มาสร้างใหม่ ปรากฏว่าหลังปี 2560 ที่กรมเจ้าท่าลงสำรวจพบมีการก่อสร้างใหม่ จึงถูกกำหนดว่ารุกล้ำลำน้ำจึงถูกเรียกเก็บเงินค่าตอบแทน  เหมือนกับต้องจ่ายค่าเช่าบ้านของตัวเอง  และบางรายถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

โดยนางวลิดา  เจริญฤทธิ์ (รายแรกคลุมฮิญาบสีดำ)  เจ้าของบ้านเลขที่ 12/2 หมู่ 4 ต.เกาะลิบง กล่าวว่า บ้านและโฮมสเตย์ของตนเองก่อสร้างในที่ดินกรรมสิทธิ์ สค.1 เคยถูกสึนามิซัดบ้านพังในปี 2547 บ้านจึงเหลือแต่เสาที่ล้ม และไม่มีเงินสร้างใหม่ และมาสร้างใหม่หลังปี 2560 ทำให้เจ้าท่าลงตรวจสอบและถูกจับกุมดำเนินคดีขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นศาล ส่วนตัวยืนยันก่อสร้างในที่ดินกรรมสิทธิ์  โดยเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงก็เคยเข้ามาตรวจสอบและออกหนังสือยืนยันว่าพวกตนอยู่ในที่ดินกรรมสิทธิ์ไม่ได้รุกล้ำพื้นที่เขตห้ามล่าฯ และให้เอาหนังสือยืนยันกับกรมเจ้าท่า แต่สุดท้ายกรมเจ้าท่าไม่รับฟัง จึงถูกฟ้องร้องดำเนินคดี  ส่วนตัวอยากให้มีการผลักดันให้ชุมชนชายฝั่งเกาะลิบงเป็นชุมชนดั้งเดิมจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่กรมเจ้าท่า และอยากให้ศาลรับฟัง

ขณะที่ชาวบ้านบางรายมีการขึ้นป้ายประกาศติดไว้กับตัวบ้านว่า “นี่คือบ้านหลังเดิมของผม” เพื่อยืนยันว่าบ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่หลังปี 2560  เป็นการสร้างแทนบ้านเก่าที่ถูกคลื่นซัดพังเสียหายไป  แต่ก็ถูกกรมเจ้าท่าเรียกเก็บเงินเหมือนกับชาวบ้านรายอื่นๆเช่นกัน ทำให้ทุกข์ใจอย่างมาก

ขณะที่นางกูเสี๊ยะ  สารสิทธิ์ (สวมฮิญาบจุดขาวดำ)   กล่าวว่า  เดิมน้ำทะเลไม่ได้เข้ามาถึงใต้ถุนบ้าน อยู่ห่างไปหลังบ้าน บริเวณบ้านจะมีต้นมะพร้าวขึ้น ซึ่งชาวบ้านไม่มีใครสร้างบ้านในน้ำแน่นอน แต่ถูกคลื่นซัดจนพื้นทรายหายไป และน้ำกัดเซาะเข้ามาถึงบ้าน จึงถูกเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ  ตั้งแต่ปี 2562 – 2565 ปีละ 1,145บาท แต่ไม่ได้จ่าย เนื่องจากตัวเองเดิมตกสำรวจ  และถูกเรียกเก็บย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บค่าปรับเท่ากับเงินต้นค่าตอบแทนคือ ปีละ 1,145  บาท รวม 3 ปี เป็นเงิน  6,870 บาท  เช่นเดียวกับชาวบ้านรายอื่นๆ ถูกเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนปีละนับพันบาท และค้างจ้ายถูกเรียกเก็บค่าปรับปีละนับพันบาท  แต่ละรายบอกว่า พวกตนไม่มีเงินจ่าย มีรายได้พอกินไปแต่ละวันเท่านั้น  โดยเรียกร้องขอให้ อบต.และกรมเจ้าท่ายกเลิกการเก็บ เพราะทุกคนอาศัยอยู่ในที่ดินดั้งเดิมที่ได้รับเป็นมรดก การจ่ายค่าตอบแทนให้กรมเจ้าท่าก็เท่ากับจ่ายค่าเช่าบ้านเป็นรายปี

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน