X

ตรัง พืชกระท่อมอนาคตสดใส ป้อนอุตสาหกรรมผลิตเป็นยา อาหารเสริม ชา เครื่องดื่มชูกำลัง

ตรัง พืชกระท่อมอนาคตสดใส บริษัทเอกชน ลง MOU ร่วมกับเกสรกรผลิตต้นกล้า ใบสด ส่งเข้าโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ ได้แก่ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง ยาแผนโบราณ และอาหารเสริม

ที่แปลงเพาะปลูกกระท่อมพันธุ์ก้านแดง “บังแม๊กซ์ ปะเหลียน กระท่อมไทยก้านแดง” ถ.ตรัง-ปะเหลียน ต.ท่าพญา อ.ปะเหลียน จ.ตรัง นายจักรตราวุธ ทองรอง ได้ร่วมลงนามเซ็น MOU นางสาววิยะดา พลประสิทธ์ บริษัทไร่เพชรตะวันจำกัด ในการผลิตต้นกล้ากระท่อมไทย พันธุ์ก้านแดงให้กับบริษัทไร่เพชรตะวัน เพื่อกระจายไปยังพื้นที่ปลูกทั่วประเทศไทย

นายจักราวุธ ทองรอง หรือบังแม็กซ์ อายุ 37 ปี กล่าวว่า ตนเริ่มทำแปลงกระท่อม ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2564 ซึ่งตอนนั้นคิดจะทำแปลงเพาะพันธุ์จำหน่ายต้นกล้ายางพาราบนที่ดินแปลงนี้ เนื้อที่ 12 ไร่  ซึ่งเป็นอาชีพที่ตนทำมานาน แต่ช่วงนั้นกล้ายางขายออกได้น้อย ผนวกกับเป็นที่ช่วงที่มีการปลดล๊อกกระท่อมออกจากบัญชีสารเสพติด จึงได้ตัดสินใจเพาะปลูกกระท่อมพันธุ์ก้านแดง โดยเริ่มต้นจากรับซื้อเมล็ดกระท่อมจากชาวบ้านในราคากิโลกรัมละ 8,000 – 10,000 บาท แล้วเพาะจำหน่าย โดยราคาตั้งแต่ 50-60 บาท  ขึ้นอยู่กับความสูงของต้นกล้า ขณะนี้ในแปลงมีอยู่ 3แสนต้น ตั้งแต่เริ่มเพาะปลูกต้นกระท่อม จนถึงวันนี้ ตนได้ขายต้นกล้าไปแล้ว 1-2 แสนต้น ส่วนใหญ่จะขายออนไลน์ และขายหน้าแปลงเพาะปลูก แต่ตอนนี้ตนผลิตที่ปลูกจะส่งให้บริษัทไร่ตะวัน
ต้นกล้าจะผลิตได้วันละ 10,000 ต้น และใช้เวลาเพาะ 4เดือน  ก็สามารถจำหน่ายได้ ตนมองว่ากระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่ขายได้รายคาดี โดยตนเตรียมต่อยอมเป็นแปลงปลูกในรูปแบบขอวิสาหกิจชุมชนต่อไป   โดยพันธุ์ก้านแดงมีสารกระตุ้นที่แรงกว่าพันธุ์อื่น เหมาะเอาไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
หากเกษตรกรท่านใดต้องการซื้อไปเพาะปลูก สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0851017379  , 0936796493 หรือ  เฟสบุ๊ก “บังแม๊กซ์ ปะเหลียน กระท่อมไทยก้านแดง”


นางสาววิยะดา พลประสิทธ์ กรรมการบริษัทไร่เพชรตะวัน จำกัด กล่าวว่า เหตุผลที่เลือกต้นกล้าของบังแม็กซ์ เพาะเป็นต้นกล้าคุณภาพ โดยได้ส่งทีมวิชาการของโรงงานมาเก็บตัวอย่างต้นกล้า ดิน น้ำ จากแปลงเพาะชำไปตรวจ พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยต้นกล้าที่รับซื้อจากแปลงบังแม็กจะนำไปอนุบาลต่อ 10-15 วัน และพักต้นกล้าไว้ในศูนย์พักต้นกล้า ซึ่งมีประมาณ 100 แห่งทั่วประเทศ กระจายอยู่ทุกภาค โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ 10ล้านต้น ในเวลา 10 ปี โดยประกันราคาการรับซื้อใบจากเกษตรกรที่นำกระท่อมไปปลูก ในราคากิโลกรัม 200 บาท ในส่วนของต้นพันธุ์ประกันราคาที่ ความสูง 5 ซม.ราคาต้นละ 60 บาท  7-10 ซม.ต้นละ 100 บาท 15-20 ซม.ต้นละ 150 บาท ราคารับซื้อโดยตรงเพื่อให้เกษตรกรได้กำไรโดยตรง และการรับซื้อตรงโดยบริษัทสามารถการันตีคุณภาพได้ เพราะบริษัทเป็นผู้ตรวจคุณภาพด้วยตนเอง และเกษตรกรได้ขายในราคาที่เหมาะสม เกษตรอยู่ได้

สำหรับ ตนเองที่ได้เลือก ทำต้นกระท่อมนั้น สืบเนื่องจาก เพื่อนำมาผลิตชากระท่อม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ตามประกาศอย. โดยได้เซ็นสัญญาส่งออกชากระท่อมกับประเทศจีนแล้ว ต่อไปจะขายเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ตลาดจะอยู่ที่ 95% แปรรูปเป็นผงสเปรย์ดรายให้กับกลุ่มโรงงาน ตลาอจะอยู่ที่ 5% สกัดเป็นน้ำมันเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารเสริม ยาแผนโบราณ ตลาดอยู่ที่ 5%  ยาแผนโบราณ ซึ่งมีกระท่อมเป็นส่วนผสมให้กับผู้สนใจภายใต้แบรนด์ของลูกค้า หรือ ผลิตแบบOEM

ตอนนี้ทางบริษัทมองว่าต้องใช้กระท่อมก้านแดงก่อน เพราะตอนนี้ต้นพันธุ์ไม่ได้ขาดแคลน โดยมีสารไมทราไจนีนสูงกว่าทุกสายพันธุ์ ซึ่งตอนนี้ทางภาคเหนือ อีสาน ตื่นตัวกับการปลูกพืชกระท่อมอย่างมาก เพราะถือเป็นพืชใหม่ ส่วนทางใต้ก็ขยับความนิยมขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์จากกระท่อมนั้น ตนคิดว่าจะได้รับความนิยม ทั้งในรูปแบบของยา เครื่องดื่มชูกำลัง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของกระท่อม รูปแบบผง น้ำมัน และสารสกัด จะอยู่ในรูปของยาแผนโบราณ และตอนนี้ได้รับการปลดล๊อคให้ผลิตได้ แต่ต้องขออนุญาตเป็นอาหารใหม่ตามประกาศของ อย. ตนมองว่าตลาดกระท่อมจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถปลูกได้ไม่กี่ประเทศ มองว่าในอนาคตไทยจะเป็นเบอร์หนึ่งของพืชกระท่อม และประเทศไทยมีนวัตกรรมอาหารที่ดีทัดเทียมกับประเทศเกาหลี  พืชกระท่อมเป็นทางเลือกที่ดีให้เกษตรกร แต่ตนไม่อยากให้เกษตรกรล้มเลิกอาชีพเดิม แต่แนะนำให้ปลูกในร่องปาล์ม ร่องกล้วย ไม่สนับให้เกษตรกรไปกู้หนี้ยืมสิน ทำตามกำลัง ปลูกแค่ 5-10 ต้น บริษัทก็รับทำสัญญาซื้อใบคืน  ในราคากิโลกรัมละ 200 บาท ซึ่งเกษตรกรสามารถทำสัญญาขายใบกระท่อมกับบริษัทฯ ได้ตั้งแต่ 1 ต้น ขึ้นไป

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน