กรุงเทพฯ – ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ยังไม่ให้ความชัดเจน พรรคร่วมรัฐบาล เห็นต่างเรื่องมาตรา 112 แต่มั่นใจ การจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น มีเสถียรภาพ ยืนยัน ไม่แบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรี ขอยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง
วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามถึงจุดยืนมาตรา 112 ขณะแถลงข่าว ‘จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน’ ของแกนนำ 8 พรรคการเมือง ว่า พรรคก้าวไกลได้แสดงจุดยืนมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งแต่ละพรรคก็มีจุดยืนและมีเงื่อนไข ที่ยังไม่ได้หารือรายละเอียดในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ทุกพรรคจะตกผลึกและร่วมแถลงรายละเอียดของบันทึกข้อตกลง (MOU) ในวันที่ 22 พ.ค.66 นี้
นายพิธา ยังยอมรับว่า มีการพูดคุยเรื่องกระทรวงกันจริง แต่ขอนำวาระประชาชนเป็นตัวตั้ง ขอนำสิ่งสำคัญอย่างนโยบายและปัญหามาเรียงลำดับความสำคัญ ไม่ได้ดูที่กระทรวง เพื่อให้การทำงานเป็นองคาพยพ ทั้งนี้จะต้องพูดคุยกันต่อ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ใครคุมกระทรวงเป็นเรื่องปลายเหตุ ประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์
ส่วนหากตั้งรัฐบาลและโหวตนายกรัฐมนตรีในสภาฯ ไม่ได้ จะทำอย่างไร นายพิธา ระบุว่า คณะทำงานทั้ง 2 คณะ มีการวางแผนและทำฉากทัศน์ เพื่อลดความเสี่ยงของความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่กังวลในขณะนี้ รวมถึงจะต้องหาเพิ่มให้ได้ 376 เสียงหรือไม่ ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญในขณะนี้ แต่ได้กรอบเจรจาหาตัวเลขที่สมดุล เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่มีความเสี่ยง และความมีเสถียรภาพของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ ส.ว.หลายคน ที่ออกมาแสดงจุดยืนว่า จะโหวตนายกฯ ตามเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร แต่เป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นนิมิตรหมายดี ที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
ข่าวน่าสนใจ:
“ยืนยันว่าผ่าน ไม่กังวลคะแนนโหวต แต่หากต้องโหวตรอบ 2 ก็ไม่กังวล เพราะมีโรดแมปและฉากทัศน์ที่วางไว้ชัดเจน จะทำให้การตั้งรัฐบาลสำเร็จลุล่วง” นายพิธา กล่าว
สำหรับเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ นั้น ไม่กังวล แต่ก็ไม่ประมาท และต้องพร้อมรับให้ได้ทุกมิติ เมื่อป็นบุคคลสาธารณะ ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ แต่เมื่อมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ก็ต้องพร้อมเตรียมรับผลกระทบที่เกิดขึ้น
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า 141 เสียงของพรรค จะสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และร่วมกันตั้งรัฐบาลตามความฝันของพี่น้องประชาชน ยืนยันเพื่อไทยไม่ได้เป็นผู้เสนอเงื่อนไข แต่ยกหน้าที่ให้เป็นพรรคเสียงข้างมาก และผ่านกระบวนการ MOU ให้ทุกพรรค และมั่นใจว่าจะมีเสียงในรัฐสภา 376 เสียง เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี และเข้าสู่กระบวนตั้งคณะรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลของประชาชน
ทั้งนี้ กลไกลสำคัญที่สุด คือ MOU ซึ่งหลายเรื่องต้องเจรจาพูดคุยกัน ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ จะบอกว่าร่วมมือกันอย่างไร บนพื้นฐานร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล อะไรที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่ตกลงพูดคุยกันได้ ก็ต้องให้จบใน MOU แต่ถ้าไม่จบต้องมีทางออก เช่น ประเด็นที่อ่อนไหวและมีความเห็นต่าง ยังไม่มีข้อตกลงร่วม จะแถลงว่าจะมีกลไกทำเรื่องนั้นได้อย่างไร เช่น มาตรา 112 ที่มีความเห็นต่างกันมาก
พรรคร่วมหนุน ‘หญิงหน่อย’ ชี้ ถ้าอยากแบ่งกระทรวง คงไม่เป็นรัฐบาล
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า เมื่อพรรคก้าวไกลได้เสียงสนับสนุน และฉันทามติเป็นอันดับ 1 คือ ยกมือให้ นายพิธา เป็นนายกฯ โดยยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่งคุยกันเรื่องข้อตกลงด้านนโยบาย หลังจากวันนี้ จะตั้งคณะทำงานนับหนึ่งทำนโยบาย มองว่าการทำนโยบายตามที่ให้สัญญากับประชาชน สำคัญกว่ามาแบ่งตำแหน่ง แบ่งกระทรวง และถ้าจะต้องมาร่วมรัฐบาลเพราะต้องมาแบ่งกระทรวงไปทำมาหากิน คงไม่มาเป็นรัฐบาล
สำหรับประเด็น มาตรา 112 วันนี้ ทุกคนมีจุดยืน และได้พูดชัดเจนทุกเวที หน้าที่ของพรรคการเมืองทุกพรรคตามรัฐธรรมนูญ คือ รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้ ดังนั้น การที่จะทำอะไรแล้วไปเกิดการกระทบ แล้วทำให้สถาบันเกิดความเสื่อมเสีย หน้าที่ของทุกพรรคการเมืองต้องปกป้อง แต่ต้องไม่เป็นเครื่องมือให้ใครที่มีอำนาจ นำไปใช้กลั่นแกล้งทำร้ายคนอื่น
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า พรรคประชาชาติเคารพระบบประชาธิปไตย ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พรรคก้าวไกลมีเสียงข้างมาก สะท้อนว่าพี่น้องประชาชนต้องการผู้นำรัฐบาลที่มาจากพรรคก้าวไกล พรรคจึงสนับสนุนนายพิธาในการจัดตั้งรัฐบาล และยินดีที่จะร่วมมือในการจัดตั้งรัฐาลของประชาชนโดยประชาชนให้สำเร็จ พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้ความเคารพต่อการตัดสินใจของประชาชน ถ้าไม่เคารพเสียงการตัดสินใจของประชาชน ประเทศนี้ก็จะติดกับดักปัญหาเดิม ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม ขอเรียกร้องทุกฝ่าย ทั้ง ส.ส. ส.ว. สื่อ และทุกคน คำนึงถึงการตัดสินใจครั้งนี้เพื่อให้เดินไปข้างหน้า
ขณะที่ นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า พรรคเป็นธรรมเป็นพรรคใหม่ นำเสนออุดมการณ์ในการหาเสียงอยู่เสมอ เน้นทำการเมืองไปในทางสร้างสรรค์ คือ การเมืองใหม่ 1 เสียงของพรรค เป็น 1 เสียงที่มีค่า วันนี้ พรรคจะแสดงให้เห็นว่าการเมืองใหม่เป็นตัวแทนในสภาฯ จะทำอย่างไร ยืนยันไม่มีข้อต่อรองทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็น
หัวหน้าพรรคเป็นธรรม กล่าวถึงมาตรา 112 ว่า พรรคมีจุดยืนและได้เคยประกาศต่อสาธารณชนไปแล้ว ทุกอย่างจะได้ไปตกผลึกกันใน MOU สำหรับคุณสมบัติของนายพิธา มองว่าจะผ่านวิกฤตได้ หากให้ความเป็นธรรม และขอความกรุณา คณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้พิจารณาอย่างตรงไปตรงมาตามหลักฐาน หลักเกณฑ์ และมีมาตรฐานสากล
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า ส.ว.ทุกคนมีคุณวุฒิและมีวุฒิภาวะ ว่า ควรจะใช้เสียงไปในทิศทางไหน พร้อมฝากไปถึง ส.ส. ส.ว.ทั้ง 500 คน สังคมต้องการเปลี่ยนถ่ายจากรัฐบาลเดิมมาเป็นรัฐบาลใหม่ รัฐบาลแห่งความหวัง รัฐบาลของประชาชน เราต้องช่วยกันประคับประคอง ให้ก้าวหน้าต่อไป ส่วนความขัดแย้งทางการเมือง หากมีก็ไปว่ากันในสภา
นายเชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ ระบุว่า ได้เข้ามา 1 เสียง ไม่สามารถนำนโยบายพรรคไปใช้กับประชาชนได้ แต่มองเห็นความศรัทธาและมติที่ประชาชนเลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง ในนามพรรคเล็ก อยากให้การเมืองเดินไปด้วยระบอบประชาธิปไตย สังคมมีความเหลื่อมล้ำมาก จึงขอให้ร่วมกันสร้างสังคมใหม่ โดยมีนายพิธา เป็นผู้นำขับเคลื่อน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: