กรุงเทพฯ – อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้ การติดเชื้อโควิด 2 สายพันธุ์ในคนเดียว มีโอกาสเกิดสายพันธุ์ลูกผสม (ไฮบริด) ได้ เผย พบผู้ป่วยชาย 1 ราย ใกล้เคียงสายพันธุ์ลูกผสม XJ แต่ยังต้องรอผลสรุปจาก GISAID
วันที่ 4 เมษายน 2565 นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงว่า จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ระหว่างวันที่ 26 มี.ค.-1 เม.ย.2565 จำนวน 1,933 ราย พบเป็นเดลตาเพียง 3 ราย ในเขตสุขภาพที่ 8 คิดเป็น 0.16% ที่เหลือเป็นโอมิครอนทั้งหมด คือ 99.84% โดยเป็นสายพันธุ์ย่อย BA.2 มากขึ้นถึง 92.2% และในอนาคตอันใกล้ BA.1 อาจจะหายไป
ส่วนการเกิดการกลายพันธุ์เป็นธรรมชาติของไวรัส ซึ่งการติดเชื้อจำนวนมากจะมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้ โดยการติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ขึ้นไปในคนเดียว (Mixed Infection) จะมีโอกาสเกิดการผสมพันธุ์เป็นตัวใหม่ หรือ ‘ไฮบริด’ ซึ่งการเรียกใช้ ‘X’ นำหน้า ขณะนี้มีประมาณ 17 ตัว ตั้งแต่ XA ถึง XS แต่ในระบบเฝ้าระวังของโลก คือ GISAID มีการยอมรับว่าเป็นลูกผสมจริง 3 ตัว คือ XA, XB และ XC
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า กรมฯ ได้ถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์สัปดาห์ละ 500-600 ราย พบว่า มี 1 ราย ที่ใกล้เคียงกับ ‘XJ’ ที่พบครั้งแรกในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็น BA.1+BA.2 เช่นกัน โดยเป็นผู้ป่วยชายไทย อายุ 34 ปี อาชีพพนักงานขนส่ง ที่มีโอกาสพบเจอคนจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสติดเชื้อ 2 สายพันธุ์ขึ้นไปในคนเดียวได้ง่าย และมีโอกาสผสมพันธุ์เป็นตัวใหม่ โดยส่งตัวอย่างมาจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน กทม. ตรวจพบตั้งแต่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 มีประวัติฉีดวัคซีน 2 เข็ม ซึ่งผู้ป่วยรายนี้รักษาหายเป็นปกติแล้ว และกรมฯ ได้ส่งข้อมูลไปยัง GISAID จึงต้องรอการวิเคราะห์ข้อมูล ก่อนจะสรุปว่าเป็นลูกผสมจริงหรือไม่ และอาจจะใช้ชื่อ XJ หรือไม่ก็ได้
“สายพันธุ์ XJ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องการแพร่เร็วหรือรุนแรง เพราะเบื้องต้น จะต้องตรวจหาตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมก่อน และมาพิจารณาว่าตำแหน่งที่เปลี่ยนนั้น มีโอกาสหลบภูมิ ทำให้รุนแรง หรือแพร่เร็วมากขึ้นหรือไม่ ดังนั้น ประชาชนยังไม่ต้องกังวลเรื่องสายพันธุ์ลูกผสม ส่วนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ มีการแพร่เชื้อเร็ว ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น จึงขอให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน รวมถึงต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน” นพ.ศุภกิจ กล่าว
