นนทบุรี – นายอนุทิน ชาญวีรกูล กำชับทำความเข้าใจประชาชน ถึงการเปลี่ยนผ่านโควิด-19 เข้าสู่ ‘โรคประจำถิ่น’ และใช้ชีวิตกับโควิดอย่างปลอดภัย ด้าน อย.จะพิจารณาคำขอขยายฉีดซิโนแวคในเด็กวัย 3-17 ปี วันที่ 4 ก.พ.65
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการประชุมผู้บริหารระดับสูง ของกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 2/2565 ในวันนี้ว่า ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามกำกับ การดำเนินงานตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง สำหรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจุบันเป็นสายพันธุ์โอมิครอน แม้จำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น แต่การเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตไม่เพิ่มขึ้นตาม
กระทรวงสาธารณสุขจึงวางเป้าหมายและแนวทางที่จะปรับโรคโควิด-19 จากการระบาดใหญ่ (Pandemic) ไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ด้วยเจตนารมณ์เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย มีความมั่นใจในความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งยา เวชภัณฑ์ และสถานพยาบาลในการดูแลรักษาเหมือนกับการดูแลรักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ ขณะเดียวกัน ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น รวมทั้งให้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และองค์การเภสัชกรรม จัดหาและกระจายชุดตรวจ ATK ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในราคาที่เหมาะสม
นายอนุทิน กล่าวถึงการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็ก 5-11 ปีว่า เริ่มจากเด็กที่มีโรคประจำตัว เสี่ยงเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อ ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทำความเข้าใจถึงความจำเป็นในการให้วัคซีนเด็กกลุ่มนี้ก่อน พร้อมประสานสถานศึกษาในพื้นที่ เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนแก่เด็กนักเรียนตามเป้าหมาย
ส่วนวัคซีนเชื้อตายที่จะใช้ในเด็กนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะประชุมพิจารณาวัคซีนซิโนแวค ที่ขอขยายการฉีดในเด็กอายุ 3-17 ปี ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 65 นี้ ซึ่งหากผ่านการอนุมัติ จะเป็นทางเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองต่อไป แต่การฉีดวัคซีนยังอยู่ที่ดุลยพินิจของกุมารแพทย์เป็นหลัก
สำหรับการรับผู้เดินทางเข้าประเทศในระบบ Test & Go ที่เริ่มเปิดอีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ได้ปรับมาตรการให้เข้มข้นขึ้น มีการลงทะเบียน Thailand Pass เพื่อติดตามและกำหนดให้ต้องตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง ในวันแรกที่มาถึงไทยและวันที่ 5 อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการเข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อถือจากต่างชาติ โดยจะเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อพร้อมรับมือและปรับเปลี่ยนมาตรการต่าง ๆ ให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
