X

ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 4 คน มาจากอิตาลีและอิหร่าน เป็นคนไทย 2 อิตาลีและจีนอย่างละคน

นนทบุรี – กระทรวงสาธารณสุข แถลงพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มอีก 4 คน เป็นผู้ที่เดินทางมาจากอิตาลีและอิหร่าน ซึ่งการระบาดรุนแรง ส่งผลจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 47 คนย้ำ ผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยง ต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักไม่น้อยกว่า 14 วัน

วันที่ 5 มีนาคม 2563 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นำคณะ แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ประจำวัน ว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 4 คน เป็นชาวอิตาลี ชาวจีน และชาวไทย 2 คน เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศอิตาลีและอิหร่าน ดังนี้

รายที่ 1 เป็นชายชาวอิตาลี อายุ 29 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางมาจากอิตาลี เข้าไทยวันที่ 1 มี.ค. เดินทางมารักษาด้วยตัวเอง ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ด้วยอาการ ไข้ ไอ ส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลชลบุรี

รายที่ 2 เป็นชายชาวไทย อายุ 42 ปี อาชีพพนักงานบริษัท มีประวัติเดินทางมาจากอิตาลี เข้าประเทศ วันที่ 2 มี.ค. เดินทางมารักษาด้วยตนเอง ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี เมื่อ 3 มี.ค. ด้วยอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ ผู้ป่วยรายนี้ไม่ความเกี่ยวข้องใด ๆ กับผู้ป่วยรายที่ 1

รายที่ 3 ชายชาวจีน อายุ 22 ปี เป็นนักศึกษา เดินทางมาจากอิหร่านเพื่อต่อเครื่อง เมื่อ 1 มี.ค. เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ ตรวจพบมีไข้ร่วมกับอาการไอและมีน้ำมูก จึงส่งรักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร

รายที่ 4 ชายชาวไทย อายุ 20 ปี เป็นนักศึกษา เดินทางกลับมาจากอิหร่าน เดินทางเข้าประเทศ 27 ก.พ. เดินทางมารักษาด้วยตนเอง ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ 2 มี.ค. ด้วยอาการไข้ มีน้ำมูก

รวมพบผู้ป่วยถึงขณะนี้ 47 คน รักษาหายแล้ว 31 คน รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพิ่มเป็น 15 คน และเสียชีวิต 1 คน สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 1 คน รักษาตัวอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ตรวจไม่พบเชื้อแล้ว แต่ยังอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังเปิดเผยถึงมาตรการคัดกรองและกักกันโรค ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ จากพื้นที่ที่พบการระบาดว่า ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศมาถึงท่าอากาศยาน จะถูกจำแนกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

1.ผู้ที่ป่วยหรือสงสัยว่าป่วย จะดำเนินการแยกพักรักษาที่สถานพยาบาล

2.ผู้ที่ไม่ได้ป่วย แต่กลับมาจากพื้นที่ซึ่งมีการระบาดของโรคสูง จะแยกพัก ณ พื้นที่ควบคุมโรค ที่รัฐบาลกำหนด

3.ผู้ที่ไม่ได้ป่วย แต่เดินทางจากพื้นที่อื่น ให้แยกพัก ณ พื้นที่กำกับของแต่ละจังหวัด

ซึ่งตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ มหาดไทย ท่องเที่ยวและกีฬา กลาโหม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาสถานที่เพื่อเตรียมการจัดให้เป็น “พื้นที่ควบคุมโรค” รองรับผู้เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของโรค ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของภาครัฐ และเตรียมชุดปฏิบัติการในพื้นที่ควบคุมโรคทุกแห่งนั้น กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำหลักเกณฑ์ลักษณะสถานที่กักกัน (สถานที่ หรือ พื้นที่ควบคุมโรค) เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหลักเกณฑ์ ประกอบไปด้วย การจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย ห้องครัว ห้องพยาบาล ระบบจัดการขยะที่ได้มาตรฐาน สถานที่อำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยจัดเจ้าหน้าที่ดูแลในแต่ละวัน

นายแพทย์สุวรรณชัย ย้ำว่า ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการระบาดของโรคอย่างเคร่งครัด คือ ต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักไม่น้อยกว่า 14 วัน แต่จากการรายงาน พบว่าคนกลุ่มคนดังกล่าวยังร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า จึงจะยกระดับมาตรการติดตามผู้ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ ตามรายชื่อของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะมีเจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวัง ว่ามีไข้มีอาการของโรคทางเดินหายใจหรือไม่ จนครบไม่น้อยกว่า 14 วัน

“เพื่อเป็นการป้องกันโอกาสที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรค ต้องย้ำว่า เป็นสำนึกความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม งดกิจกรรม ไม่ไปอยู่ในที่คนหนาแน่น หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ช่วยให้ประเทศไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง ขณะเดียวกัน ก็เป็นความรับผิดชอบของคนในสังคม ที่จะไม่ไปรังเกียจ ตีตรา หรือเลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยหรือผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด โรคนี้ป้องกันได้ ด้วยการกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหากจำเป็นต้องไปในที่ที่มีคนหนาแน่น ขอให้ตระหนัก ไม่ตระหนก เพื่อสังคมสมานฉันท์” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ลักขณา สุริยงค์

ลักขณา สุริยงค์

ทำหน้าที่สื่อมวลชนมาเกือบ 30 ปี ทั้งงานสายข่าวและจัดรายการทีวี-วิทยุมานับไม่ถ้วน "ไม่เป็นกลาง แต่เป็นธรรม พร้อมนำเสนอความจริง"