“ดร.เกรียงไกร ภูมิเหล่าแจ้ง” อดีต สปช.และประธานสมาพันธ์ผู้บริหารท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือวอน “บิ๊กตู่” ปลดล๊อก ม.44 ผู้บริหาร อปท.และข้าราชการ ที่ไม่ผิด เป็นของขวัญปี 61
ดร.เกรียงไกร ภูมิเหล่าแจ้ง นายกเทศมนตรียางตลาด อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะประธานสมาพันธ์ผู้บริหารท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อดีต สว.และอดีต สปช. กล่าวว่า กว่า 4 ปี ที่ คสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาควบคุมการใช้อำนาจรัฐ เพื่อระงับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากการแตกแยกต่อสู้ของกลุ่มการเมืองที่เกิดจากสาเหตุปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองและการทุจริตประพฤติมิชอบ ส่งผลให้เหตุวิกฤติที่กำลังจะบานปลายร้ายแรงยุติลงได้ด้วยการตัดสินใจช่วงปลายนาทีสำคัญของเหตุการณ์นั้น ซึ่งด้วยเหตุผลหนึ่งที่สำคัญของการเข้ามาควบคุมอำนาจ คือการทุจริตของนักการเมืองและข้าราชการ หัวหน้า คสช.ได้ให้ยาแรงกับกรณีดังกล่าวทันที ประเดิมด้วยการสั่งให้ผู้บริหาร อปท. ข้าราชการ หยุดปฎิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 จนถึง คำสั่งล่าสุด คือคำสั่งที่ 35/2560 (รวม9ฉบับ) โดยอาศัยอำนาจตาม รัฐธรรมนูญ( ชั่วคราว) ปี2557 มาตรา44 จำนวน 401 คน แบ่งเป็น กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น 191คน กลุ่มพนักงานท้องถิ่น 104 คน กลุ่มข้าราชการทั่วไป 92คน อื่นๆ14คน
ดร.เกรียงไกร กล่าวต่อว่า กรณีจากกลุ่มบุคคลดังกล่าว มีสาเหตุที่ถูกวางยาแรง โดย ม.44 เกิดจากมูลเหตุ ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือ ประพฤติมิชอบ แต่ยังไม่สรุปความผิดชัดเจนถึงขั้นชี้มูล ของ ปปช.และ สตง.เเต่เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ คสช.และเพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปราชการแผ่นดิน หัวหน้า คสช.จึงใช้มาตรการเข้มเหนือระเบียบและกฎหมายปกติที่มีอยู่แต่เดิม ซึ่งอาจล่าช้าไม่ทันการณ์ ทั้งนี้เนื่องจากคำสั่งแรกของหัวหน้า คสช.คำสั่งที่ 16/2558 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา กว่า 3 ปี หลายคนที่ถูกคำสั่งใน 9ฉบับ ดังกล่าว บ้างก็ล้มหายตายจากไป บ้างก็เกษียณราชการ บ้างก็ล้มป่วยซึมเศร้า บ้างครอบครัวก็ตกระกำลำบากขาดรายได้จากเงินเดือนค่าตอบแทนโดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่ได้ให้สำรองราชการเหมือนข้าราชการประจำ เวลาผ่านมาเนิ่นนานเหมือนไม่มีการดำเนินการตรวจสอบอะไรให้รวดเร็วดังที่ คสช.มีนโยบายให้ไว้กับผู้ตรวจสอบชี้มูล ซึ่งคงเป็นเหมือนกับยิ่งช้าลงกว่าการใช้ระบบกฎหมายไปด้วยซ้ำ
“ ความล่าช้า คือ ความไม่ยุติธรรมอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นเราเป็นท่าน ที่โดนดองเค็มด้วยเหตุที่ยังไม่พิสูจน์ความผิดว่าเท็จหรือจริง แต่กลับถูกคำสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ เท่ากับถูกลงโทษไปก่อนจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด และเมื่อมีคำพิพากษา ว่าผิดก็จะได้รับโทษจริงอีก เท่ากับว่าเป็นการถูกลงโทษซ้ำในฐานความผิดเดียว และหากพิสูจน์ว่าไม่ผิด กว่าจะพ้นผิดก็ตาย ล้มป่วย โรคจิต เสียหายชื่อเสียงวงค์ตระกูล ยากแก่การเยียวยากลับคืนมาได้ อันเป็นการขัดต่อหลักนิติรัฐหลักและหลักนิติธรรม ตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติรับรองและสากลทั่วไป ใครไม่โดนใครก็จะไม่เข้าถึงความรู้สึกเช่นนี้”ดร.เกรียงไกร กล่าว
ดร.เกรียงไกร กล่าวอีกว่า ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองมีเสถียรภาพทางการเมือง มีบรรยากาศปรองดองสมานฉันท์ และมีสีสันต์ประชาธิปไตยมากขึ้น กอปรกับ ท่านนายกรัฐมนตรีปรับ ครม.ให้มีรัฐมนตรีมาจากพลเรือนมากขึ้นและกำลังจะปลดล๊อคทางการเมือง เพื่อเตรียมจะให้มีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ และในโอกาสจะเถลิงศกใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตามหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม จึงขอกราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โปรดกรุณามีบัญชาเร่งรัดการอำนวยความยุติธรรมแก่บุคคลที่บริสุทธิ์คืนตำแหน่งหน้าที่หรือเยียวยาแก่เขาเหล่านั้นโดยเร็ว โดยการปลดล็อก มาตรา44 ให้นำกฎหมาย ระเบียบปกติ พรบ.ปปช.,พรบ.สตง.และพรบ.เกี่ยวข้องตามแต่กรณีนั้นๆ มาใช้กับกลุ่มบุคคลดังกล่าว เช่น ในภาวะปกติโดยมีระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจนในการตรวจสอบ(หากผิดจริงก็ลงโทษไปตามหนักเบาแก่กรณีโดยเร็ว) เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่เขาเหล่านั้นและครอบครัวต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: