X
สิทธิของผู้หญิ งคือ สิทธิของมนุษย์

สิทธิของผู้หญิง คือ สิทธิของมนุษย์ Women’s Rights Are Human’s Rights

สิทธิของผู้หญิง คือ สิทธิของมนุษย์  Women’s Rights Are Human’s Rights   พลังของผู้หญิงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถมองข้ามได้ Women’s March คือพลังโดยตรงของสตรีในอเมริกา ที่ส่งแรงสนับสนุนไปสู่รัฐบาลกลางอเมริกาชัตดาวน์

ในตอนเช้าของวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๐๑๖ ประชาชนเกือบเศษสองส่วนสามของประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังประสาทเสีย จิตผวาหวาดหวั่น เนื่องจากว่าในตอนดึกของคืนวันที่ ๘ ที่ผ่านไป นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ เพิ่งชนะตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ ๔๕ ของที่นั่น ซึ่งแทบเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ทว่าเกิดขึ้นจนได้

และที่ประสาทกินมากที่สุดคือเพศหญิง ซึ่งนายทรัมป์มีปัญหาด้วยอย่างหนัก โดยเฉพาะในตอนต้นเดือนตุลาคม เพียงหนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้ง เมื่อมีการเปิดเผยถึงเทปคำพูดเก่าของทรัมป์ซึ่งอวดอ้างว่า นายทรัมป์เป็นคนดัง เป็นเซเลบ ผู้หญิงจึงยินยอมให้แก่นายทรัมป์ทุกประการ ยอมกระทั่งให้ grab them by the pussy อันหมายถึงการตะปบที่ของสงวน (แม้กระทั่งในภัตตาคารหรือบนเครื่องบิน หากผู้หญิงนั่งติดกับนายทรัมป์)

…ไม่นับว่าในขณะหาเสียงอยู่เกือบหนึ่งปี ทรัมป์และกลุ่มรีพับลีกัน/พรรค์การเมืองของเขา ประกาศที่จะตัดงบประมาณของรัฐบาลแก่องค์กร Planned Parenthood จนหมด … Planned Parenthood คือองค์กรที่ช่วยเหลือปัญหาทางด้านอนามัยของเพศหญิงในเมืองน้อยใหญ่ทั่วอเมริกา โดยเฉพาะหญิงในฐานะระดับปานกลางไปจนถึงต่ำสุด ดั่งการตรวจหามะเร็งในเต้านม มะเร็งในมดลูก และอนามัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพของเพศหญิง

…โดยการอ้างว่าเพราะ Planned Parenthood มีหน่วยทำแท้ง เป็นการทำแท้งที่ไม่มีใครปรารถนาที่จะ”ต้อง”ไปทำ หากไม่จำเป็นหรือเหนือบ่ากว่าแรงจริง ๆ แต่พรรค์รีพับลีกันซึ่งผู้สนับสนุนกลุ่มใหญ่คือชนอเมริกันผู้เคร่งศาสนา ถือกันว่าการทำแท้งเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตที่ประทานมาให้โดยพระผู้สร้างโดยตรง (เชื่อกันว่ากว่าสามสิบเปอร์เซนต์ของชาวอเมริกัน เอียงหนักมากไปทางด้านนี้)

ในขณะเดียวกัน หญิงอเมริกันทั่วไปถือว่าเป็นเรื่องของร่างกายของเธอ เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ เป็นสิทธิของเธอทั้งหมดที่จะทำแท้งหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องถูกต้องตรงตามกฏหมายของที่นั่นแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๗๓ (พ.ศ.๒๕๑๖) เป็นต้นมา หรือ ๔๕ ปีมาแล้ว ฉะนั้นการต่อต้านองค์กร Planned Parenthood ของพรรค์รีพับลีกัน นำโดยนายทรัมป์ จึงกลายเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นสำหรับเพศหญิง โดยเฉพาะหญิงสมัยใหม่ ที่เกรงและเก็งกันว่านี่คือบันไดขั้นแรกของพรรค์รีพับลีกัน ที่จุดมุ่งหมายจริง ๆ (ของพรรคนี้)ก็คือการพลิกกฏหมายเก่าโดยสิ้นเชิง หรือเปลี่ยนกฏให้การทำแท้งให้เป็นเรื่องอาชญกรรม เหมือนเมื่อ ๔๕ ปีมาแล้ว

ขออธิบายว่านอกเหนือจากการห้ามทำแท้ง ไม่ว่าในกรณีใด ๆ เป็นต้นว่าตั้งครรภ์หลังจากการถูกปลุกปล้ำข่มขืน บ้างโดยชายเป็นกลุ่มหรือที่เรียกกันว่า gang rape (สถิติของการถูกข่มขืนที่อเมริกา เกิดขึ้นแก่หญิงเกือบเจ็ดหมื่นคนต่อหนึ่งปี …ว่าหนึ่งในห้าของหญิงที่อเมริกา มีสิทธิ์ที่จะโดนปลุกปล้ำข่มขืน และขอแจงว่าเกือบเจ็ดหมื่นคนต่อหนึ่งปีนั้น เป็นเพียงการรายงานแจ้งแก่เจ้าหน้าที่เท่านั้น ที่ไม่กล้าแจ้งหรือถูกบังคับไม่ให้แจ้ง …เชื่อกันว่ามีอีกในหลักแสน และที่ถูกรุมหมู่มีกว่า ๒๐ เปอร์เซนต์ของอาชญกรรมในด้านนี้)

…หรือมิเช่นนั้นก็กลายเป็นว่า ว่าการตั้งครรภ์ตามปรกติของมารดานั้น อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะสุขภาพของลูกในท้อง จึงควรที่จะต้องเอาลูกออก แต่ชาวเคร่งศาสนาจะไม่ยอมให้มีการทำแท้งเป็นอันขาด ไม่ว่าด้วยเหตุผลประการใดทั้งนั้น รวมถึงว่าพวกท่านจะออกกฏห้ามไม่ให้ใช้ยาคุมกำเนิด หรือวิธีป้องกันใด ๆ อีกต่างหาก เพราะผิดกฏหลักของศาสนา (ตามความคิดเห็นของพวกท่าน) นายทรัมป์เองถึงขั้นกล่าวอย่างหนักแน่นว่า หญิงที่จะไปทำแท้ง ทั้ง ๆ ที่ถูกต้องตรงตามกฏหมายในขณะนี้นี่แหละ แต่พวกเธอยังควรถูกลงโทษทัณฑ์อย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ดี

และทั้ง ๆ ที่ทรัมป์เองในฐานะของเพลย์บอยคนสำคัญก่อนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี ไม่ได้สนหรือใฝ่ใจมากมายนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเชื่อถือศาสนาในระบบหรือในระดับที่ประชาชนที่สนับสนุนเขานำมาแบกหามหนักถึงขั้นนี้ …แต่นายทรัมป์ต้องหาเสียงเอาใจคนเหล่านี้ คนเหล่านี้ คือผู้ที่ช่วยเลือกนายทรัมป์ให้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี

ฉะนั้น ทันทีทันใดที่นายทรัมป์ชนะ ด้วยความโกรธเคืองและความหวั่นกลัวจนเกินกลั้น ผู้หญิงจึงเริ่มรวมตัวกันและประกาศเรียกร้องให้มีการเดินขบวนต่อต้าน เริ่มก่อนใน Facebook

ซึ่งภายในไม่กี่วัน เหล่าผู้หญิงผู้สนับสนุนที่ติดตามเป็นหลักแสน จากการประกาศกันทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงการวางแผนบริหาร ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายนนั้นเป็นต้นมา กลายเป็นว่าผู้หญิงทั่วอเมริกาซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้าน ตกลงกันที่จะเดินขบวนต่อต้านนายทรัมป์ที่นครวอชิงตัน ดี ซี ในวันเสาร์ที่ ๒๑ มกราคมของปีที่แล้ว หนึ่งวันหลังจากพิธีสถาปนาแต่งตั้งให้นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี

ซึ่งประสบความสำเหร็จอย่างมโหฬาร จนมีการจดจารึกไว้ว่า เป็นการเดินขบวนต่อต้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโลก เพราะนอกเหนือจากที่นครวอชิงตัน ดี ซีแล้ว เมืองน้อยใหญ่อื่น ๆ รอบอเมริกา ก็มีมาร์ชของตนเอง รวมแล้วเป็นจำนวน ๔๐๘ ขบวน มีคนออกมาร่วมกันเดินกว่าห้าล้านคน และในระบบไฮเทคอีกต่างหาก เพราะถ่ายทอดกันสดทาง Facebook, Youtube และ Twitter

ไม่นับผู้ที่ร่วมเดินขบวนอื่น ๆ อีกจากรอบโลก นับได้กว่า ๘๐ ประเทศ ที่แคนาดาที่เดียวมี ๒๙ ขบวน และที่เม็กซิโกอีก ๒๐ ขบวน และขบวน …อย่างน้อยที่อเมริกา ยังประกอบด้วยไปอีกด้วยสิทธิของชาว LGBTQ [Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, Queer] และสิทธิทางความเสมอภาคของสีผิว สิทธิของผู้พิการ สิทธิทางด้านเงินค่าแรงงาน ซึ่งสตรียังได้รับน้อยกว่าบุรุษ(ในอาชีพเดียวกัน) ฯลฯ

…จึงต้องนับว่ารวม ๆ แล้วเป็นการเดินขบวนต่อต้านอย่างกว้างขวาง แต่ทว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่า ณ ที่ไหนก็ตาม ไม่มีใครถูกจับ ไม่มีใครถูกไล่ และได้ผลอย่างมหาศาล เพราะต่อ ๆ มาผู้หญิงจะเริ่มรวมตัวกันมากขึ้นเป็นลำดับและอย่างรวดเร็ว รวมถึงการต่อต้านการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเริ่มเมื่อปลายปีที่แล้วที่มีสัญญลักษณ์ว่า #MeToo ที่เหล่าผู้หญิงช่วยกันคว่ำชายยักษ์ใหญ่หลายราย จาก CEO ของบริษัทภาพยนต์ไปจนถึงบริษัทไฮเทค(ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโซเชียลมีเดียมีส่วนช่วยเหลือในความเคลื่อนไหวทางการเมืองนี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย)

ที่ผมว่ายิ่งวิเศษขึ้นมากไปอีกก็คือ ในปัจจุบัน หญิงในจำนวนมากที่ร่วมเดินขบวนต่อต้านการเมืองนั้น เริ่มปักใจที่จะหันมาเล่นการเมืองเสียเอง เริ่มสมัครแข่งเป็นผู้บริหารทางการเมืองเสียเอง ไม่ว่าของท้องถิ่นหรือรัฐบาลกลาง …มากขึ้นจนเป็นการสร้างสถิติ และของทั้งสองพรรค์อีกเสียด้วย หรือของทั้งฝ่ายซ้ายและขวา ซ้ายคือกลุ่มที่สนับสนุนนโยบายของพรรค์เดโมแครต และขวาคือสมาชิกของพรรค์รีพับลีกันที่ทนนายทรัมป์ไม่ไหว หรือทนการบริหารของพรรค์ของตนไม่ไหวอีกต่อไป

หรืออย่างน้อยที่สุดในปัจจุบัน Women’s March ไม่เชิงเป็นเพียงการต่อต้านเรียกร้องสิทธิเท่านั้น แต่เป็นการรวมตัวกันจัดตั้งผู้บริหาร เป็นการวางแผนเพื่อช่วยกันคุมสถานการณ์ เป็นต้นว่าสิทธิต่าง ๆ ของสตรีที่ยังไม่เสมอภาคเทียบเท่าชาย …ด้วยตนเอง

โดยเฉพาะในปีนี้ ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา  หัวใจของการเดินขบวนอยู่ที่การเตือนกันและกันให้ไปจดทะเบียนเพื่อการออกเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะการเลือกตั้งในปลายปีนี้ของวุฒิสมาชิกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสมาชิกของสภาผู้แทนราษฏรของอเมริกา ซึ่งเลือกกันทุกสองปี เพื่อการตัดแข้งตัดขาตัดพลังของประธานาธิบดีทรัมป์ และการบริหารที่เอียงขวาจนกระเร่เท่ ของพรรค์รีพับลีแกน ซึ่งปัจจุบันได้คุมอำนาจทั้งหมดของรัฐบาล

ที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ก็คือในการเดินขบวนครั้งที่สองนี้ มีเด็กมากมายที่มารดา(หรือบิดา)พามาด้วย เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญของสิทธิของบุคคล ของสตรี ของเกย์ ของคนพิการ ของกรรมกร …ให้ได้รู้ให้ได้เห็นเสียตั้งแต่ตอนนี้ แทนที่จะสายเกินแก้ ก่อนที่คนเช่นนายโดนัลด์ ทรัมป์จะหลุดเข้าไปติดตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้อีกในอนาคต

และการที่เหล่านางสวมหมวกถักสีชมพูนั้น ประการแรกสีชมพูคือสีของผู้หญิง ประการสองหมวกทรงนี้เรียกว่า pussyhat (พร้อมหูแมว) อันเป็นการกระแทกคำกล่าวว่า grab them by the pussy ของนายทรัมป์

…และเพราะในโลกของมีเดียและอิมเมจที่เรากำลังอยู่อาศัยกันในปัจจุบัน สิ่งที่เรียกกันว่า optic หรือภาพพจน์จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก และอะไรจะเป็นภาพพจน์ยิ่งใหญ่ที่เตะตามากไปกว่าหญิงในหลักแสนและล้าน ที่จะมาปรากฏกายเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กัน ทั้งทางภาพตรงและภาพทางสื่อ ในหมวกทรงหูแมวสีชมพูสด เหมือน ๆ กันไปหมด

อาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบัน Women’s March คือพลังโดยตรงของสตรีที่อเมริกา สตรีที่ไม่เพียงแต่ต้องการที่จะคุมสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิของตนเองเท่านั้น แต่ว่าสิทธิของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เกย์หรือเลสเบี้ยน ปรกติหรือว่าพิการ เพราะทุกคนที่กล่าวมาคือ human

สมกับคำกล่าวศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของการเดินขบวนนี้ที่ว่า

Women’s rights are human’s rights

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

กิจจา บุรานนท์

กิจจา บุรานนท์

อาศัยอยู่อเมริกามาแล้วค่อนชีวิต กว่า 51 ปี เคยเป็นคอลัมนิสต์ นิตยสาร 'ดิฉัน' 'พลอยแกมเพชร' นักเขียนรับเชิญ 'Hello Thailand' ผลงานหนังสือ เรื่องสั้น 'ลอยไปในมายา' (2553) นวนิยาย 'อิสระและอานิต้า'