มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเวทีสาธารณะ “1 เดือนความคืบหน้า คดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ 61” พร้อมออกแถลงการณ์ทวงถามความคืบหน้า คดีนายเปรมชัย กรรณสูต ซีอีโอบริษัทอิตาเลียนไทย พร้อมพวกรวม 4 คน ลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
โดยในแถลงการณ์ระบุว่า จากพฤติการณ์แห่งคดี พบข้อเท็จจริงว่านายเปรมชัยกับพวก ลักลอบนำอาวุธปืนซุกซ่อนไว้ในรถ ก่อนจะขออนุญาตเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตั้งแต่แรก จากนั้นก็ลักลอบเข้าไปตั้งแคมป์ในเส้นทางและพื้นที่หวงห้ามไว้สำหรับการอยู่อาศัยและหากินของสัตว์ป่าตามธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่า นายเปรมชัยกับพวก มีเจตนาเข้าไปล่าสัตว์ป่าตั้งแต่แรก ไม่ใช่การเข้าไปพักผ่อนอย่างที่อ้าง
ประกอบกับเสียงปืนที่ดังมาจากบริเวณหวงห้ามไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป จึงมีเพียงกลุ่มของนายเปรมชัยเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งหลังจากถูกจับได้พร้อมของกลางอาวุธปืน กระสุนและปลอกกระสุน รวมทั้งซากสัตว์ป่า เจ้าหน้าที่ยังตีรวจพบร่องรอยกระสุนบนซากสัตว์ เศษซากกระดูกสัตว์ป่าที่พบในลำห้วย และร่องรอยการใช้เนื้อสัตว์ป่าประกอบอาหาร ซึ่งตรวจพบใกล้กับแคมป์ของนายเปรมชัยกับพวก ล้วนเป็นพยานวัตถุสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงชัดเจนว่านายเปรมชัยกับพวก ร่วมกันกระทำความผิดสำเร็จ ฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นความผิดที่นอกเหนือไปจากการครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครอง และการซ่อนเร้นซากสัตว์ป่า
มูลนิธิสืบฯ องค์กรภาคประชาชน และประชาชนทั่วไป เห็นว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีที่ซับซ้อน จึงขอเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในการดำเนินคดี โดยเฉพาะตำรวจ เร่งรัดสรุปสำนวนและส่งความเห็นไปยังอัยการ เพื่อส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็ว อย่าเบี่ยงเบนประเด็นการสอบสวน ด้วยการมุ่งไปเสาะหาพยานวัตถุที่อาจเปลี่ยนแปลงได้
รวมทั้งขอให่้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช , กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐบาล เร่งรัดติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด และขอให้กรมอุทยานฯตรวจสอบสำนวนในชั้นอัยการอย่างรอบคอบ ก่อนส่งฟ้องศาล เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนไปจากพฤติการณ์แห่งคดี
นอกจากนี้ยังขอให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ ยืนเคียงข้างประชาชน ในการสนับสนุนกิจกรรมทางอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันประณามผู้ที่มีเจตนาในการทำร้ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมต่อไป
