X

บิ๊กโจ๊ก แถลงรวบเจ้าของบริษัทกาแฟเคชแบ็ค ร่วมกันฉ้อโกงมูลค่าความเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนายการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวรวบหนึ่งในเจ้าของบริษัทกาแฟเคชแบ็ค ร่วมกันฉ้อโกงมูลค่าความเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท ส่วนผู้ต้องหาอีกคนได้ไหวตัวทันหลบหนีการจับกุมตัวไปได้ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัวอยู่

เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 30 มีนาคม 2562 ที่ศูนย์ปฎิบัติการ กองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนายการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.ธีรพล  คุปตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมตำรวจ สตม.และตำรวจท่องเที่ยว ชุด ศปอส.ตร. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัวนายกิตติกร หรือกร  วรรณวสุธรอายุ 61 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตโดยการหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจับกุมผู้ร่วมกระบวนการได้จำนวน 8 คน โดยจับกุมได้ในขณะที่หลบหนีไปกบดานในประเทศเวียดนาม

ทั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ เครือข่ายแชร์ลูกโซ่บริษัท กาแฟ แคชแบ็ค จำกัด ได้เปิดบริษัทขึ้นมาเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนมาร่วมลงทุนโดยการชักชวนสมัครสมาชิกทางเว็ปไซค์ WWW.cofcashback.com โดยเสนอผลตอบแทน 2-3.5 % ต่อวัน จ่ายผลตอบแทน 30 วัน รวมทุนบวกกำไร โดยแบ่งจ่าย 8 งวด ทุกวันที่ 5-10-15-20-25-30 ของเดือน ลงทุนขั้นต่ำ 1 พันบาท หรือจะให้ผลตอบแทนมากถึง 105 % ต่อเดือน ซึ่งมีการจัดแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทต่อสื่อมวลชนหลายแขนง โดยอ้างหน่วยงานราชการ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ / ปปง. / ดีเอสไอ และกรมสรรพากร เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ มีประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนด้วยหลายพันราย และร่วมสมัครสมาชิกกว่า 86,000 บัญชี  มูลค่าความเสียหายกว่า  3 พันล้านบาท แต่หลังจากเปิดบริษัทได้เพียง 2 เดือน ก็ได้ปิดบริษัทหอบทรัพย์สินหลบหนีไป ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียเข้าแจ้งความร้องทุกข์แล้วกว่า 1 พันราย  ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ร่วมกระบวนการได้แล้วจำนวน 8 ราย ตามที่เคยเสนอข่าวไปแล้วนั้น เหลือเพียงนายกิตติกร วรรณวสุธร อายุ 61 ปี และนางสาวสิรวัญพร หรือภู่ ไชยวัชรคุปต์ อายุ 53 ปี สองตัวการใหญ่ที่หลบหนีไปกบดาลในประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับ นายกิตติกร และนางสาวสิรวัญพร ก่อนที่จะประสานความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเวียดนาม ออกไล่ล่าติดตามจับกุมตัวนายกิตติกร เอาไว้ได้เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วน นางสาวสิรวัญพร ได้ไหวตัวทันหลบหนีการจับกุมตัวไปได้ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัวอยู่ จึงได้สานส่งตัวนายกิตติกร กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและทีมงาน ได้เดินทางไปรับตัวนายกิตติกร ผู้ต้องหารายนี้ด้วยตัวเอง พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาว่า ฉ้อโกงประชาชน และกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์บิดเบือน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก่อนควบคุมตัวนายกิตติกร ไปควบคุมที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อทำการสอบสวนขยายผลติดตามจับกุมตัวนางสาวสิรวัญพร มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยมีผู้เสียหายกว่า 30 รายที่ทราบข่าวว่าจับกุมตัวนายกิตติกร ได้แล้วและจะเดินทางกลับมาที่ประเทศไทยจึงได้เดินทางมารอดูหน้าและชี้ยืนยันตัวตนนายกิตติกร ว่าเป็นตัวการใหญ่ในการฉ้อโกงในครั้งนี้พร้อมทั้งนำช่อดอกมามอบขอบคุณให้แก่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและทีมงาน ที่สามารถจับกุมตัวนายกิตติกร ได้ในครั้งนี้

ขณะที่นางมะลิวรรณ  ปิ่นทอง อายุ 52 ปี หนึ่งในผู้เสียหายที่สูญเงินไปกว่า 1 ล้านบาท ได้เล่าว่า ในตอนแรกเพื่อนมาชวนให้ร่วมทำธุรกิจกับบริษัทดังกล่าว โดยผู้บริหารบริษัทดังกล่าวได้อ้างว่าคนรากหญ้าจะได้ลืมตาอ้าปาก ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อจึงพาไปออฟฟิตพบว่าที่บริษัทดังกล่าวมีเอกสารการจดทะเบียนจำนวน 15 ล้าน และอ้างว่าทางบริษัทร่วมจับมือกับ  4 หน่วยงานภาครัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ ปปง. ดีเอสไอ และกรมสรรพากร จึงเชื่อสนิทเลยร่วมลงทุนไปด้วยกว่า 1 ล้านบาท  พวกเราไม่ใช้คนที่โลภอยากได้นะแต่เขาว่าได้จริง ๆ โดยมีการปันผล 3.5 % ทุก ๆ 5 วัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2561 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะปิดบริษัทหนี ตอนนี้เครียดมากทำให้นอนไม่หลับ และก็ได้เข้าไปแจ้งความที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและถ้าหากตนไม่ได้เงินคืนจะเข้าไปร้องเรียนที่สำนักงานพระราชวัง

ส่วนทางด้านนางสาวมยุรี  วงศ์คำจันทร์ อายุ 33 ปี ได้เล่าว่า ตนเองยังน้อยถูกหลอกไปเกือบ 4 แสนบาทโดยอ้างว่าจะได้รับเงินปันผลในอัตราที่สูง และชักชวนให้ร่วมลงทุน เขาบอกว่าอยากให้ลืมตาอ้าปากได้จะได้หมดหนี้หมดสิน คนที่มาชวนเป็นคนที่รู้จักกันซึ่งเป็นคนที่เขาร่วมลงทุนไปแล้วได้ปันผลจริงจึงมาชักชวนเราก็ไปดูที่บริษัทเราก็เห็นว่ามีการเปิดตัวมีสื่อหลายช่องมาทำข่าวภาครัฐอยู่ด้วย ทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นจึงร่วมลงทุนด้วย ยอมรับว่าตอนนี้อยากได้เงินคืนเครียดมากเพราะเอาเงินค่าเทมอลูกและค่าใช้จ่ายในบ้านไปร่วมลงทุนจนหมด

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน