X

สาวโคราชหอบหลักฐานพบตำรวจ ล่าตัวสาวแสบตุ๋นร่วมลงทุนทำกระยาสารท สูญเงินเกือบ 2  ล้าน

สาวโคราช พร้อมผู้เสียหายอีก 2 ราย หอบหลักฐานพบ ผู้กำกับ สภ.บางพลี ให้ช่วยล่าตัวสาวแสบตุ๋น ร่วมลงทุนทำกระยาสารท มีออเดอร์เยอะ ผู้เสียสูญเงินรวมกัน 3 ราย เกือบ 2  ล้านบาท ด้านผู้กำกับ สภ.บางพลี หลังจากที่ได้พูดคุยกับผู้แจ้งแล้ว ในคดีนี้คงต้องสอบปากคำอย่างละเอียด โดยให้ทางพนักงานสอบสวน และถ้ามีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นความผิดในเรื่องฐานฉ้อโกง แล้วก็จะให้ทางพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกตัวมา เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

จากกรณีสาวโคราช ถูกหลอกตุ๋นร่วมลงทุนทำกายาสารทสูญเงินเกือบล้านบาท หลังรู้ว่าถูกหลอกวิ่งโร่เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.บางพลี สมุทรปราการ

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่  4 มีนาคม 2562  นางสาวนงนุช  จิณรักษ์ ชาวอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา สาวอ๊อฟฟิตโรงงานผลิตของเล่นแห่งหนึ่งในย่านบางโฉลง อ.บางบางพลี จ.สมุทรปราการ พร้อมผู้เสียหายอีก 2 ราย ได้หอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ อาทิเช่น ใบสลิปการโอนเงิน ทามไลน์แชทข้อความ  รูปถ่าย ต่าง ๆ เดินทางเข้าพบกับ พ.ต.อ.โสภณ  โสภณมงคลรัตน์  ผกก.สภ.บางพลี สมุทรปราการ และ พ.ต.ท. ประมวล ทองพู รองผกก.สอบสวน เพื่อแจ้งความเอาผิดกับ นางสาววารุณี  หรือแหม่ม  เทียนประภา  อายุ 29 ปี ในข้อหาฉ้อโกง   หลังจากที่นางสาวนงนุช และผู้เสียหายอีก 2 คน ตกเป็นเหยื่อถูกนางสาว วารุณี หรือ แหม่ม หลอกให้ร่วมลงทุนธุรกิจ ทำกระยาสารท ขายเป็นขอฝากให้กับทัวร์จีน และตามร้านขายของฝากในย่านอำเภอศรีราชา และตลาดหนองมล จังหวัดชลบุรี  รวมมูลค่าความเสียหายเกือบ 2 ล้านบาท

นางสาว นงนุช  เปิดเผยว่า  โดยเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ตนทำงานเป็นพนักงานบริษัทผลิตของเล่นเด็กแห่งหนึ่งในย่านตำบลบางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มีเพื่อนร่วมงานที่ชื่อนก บอกว่า มีเพื่อนร่วมงานที่ออกจากบริษัทไปแล้วที่ชื่อแหม่ม ไปทำธุรกิจเกี่ยวกับขายส่งปลาหมึกแห้ง มาชวนร่วมลงทุน เห็นบอกว่ามีกำไรดี จึงแนะนำให้คุยเกี่ยวกับธุรกิจ เป็นรายได้เสริม จนเมื่อได้พบกับน้องที่ชื่อแหม่ม ก็ชักชวนว่า นอกจากทำธุรกิจปลาหมึกแห้งแล้ว ตอนนี้ยังมีธุรกิจทำกระยาสารทส่งลูกค้าที่เป็นของฝากและบริษัททัวร์ โดยมีพ่อทำอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กิจการดี กำไรดี อย่างเช่น สั่งกระยาสารท มา 100 บาท ทำหีบห่อแพคขาย 300 บาท กำไร 200 บาท ตนเห็นว่าเป็นธุรกิจดีและมีกำไรสูงจึงสนใจ ในช่วงเดือน ต.ค. 61 ได้รับการติดต่อให้ร่วมลงทุน แบ่งกันคนละครึ่งกับ น.ส.แหม่ม โดยเสนอให้ทำสัญญาและตกลงเงินมัดจำ อ้างว่าการลงทุนสูง กลัวเราผลิตไม่ได้ จึงต้องขอค่ามัดจำ จำนวน 130,000 บาท โดยจ่ายคนละครึ่ง คนละ 65,000 บาท งวดที่ 2 เป็นค่าสินค้า วัตถุดิบ ที่แหม่มอ้างว่า เราลงทุนวัตถุดิบด้วยกันคนละครึ่ง จำนวน 280,000 บาท ตนจ่าย 140,000 บาท แต่คนผลิตเป็นกลุ่มคนอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ พอเวลาผ่านไป ทาง น.ส.แหม่ม โทรมาแจ้งว่า ล็อตแรกผลิตแล้วและส่งมอบได้แล้ว ได้กำไรคืนมา 420,000 บาท แต่ตอนนี้เงินยังไม่เข้า แต่มีออเดอร์ใหม่เริ่มเข้ามาแล้ว จึงขอเงินลงทุนงวดที่ 2 อีก 270,000 บาท บวกค่ามัดจำและสัญญาอีก 175,000 บาท โดยครั้งนี้ผลิตเสร็จประมาณเดือน พ.ย. 61 ยอดเงินที่จะได้รับ 837,500 บาท แต่พอถึงเวลา น.ส. แหม่มอ้างว่า เงินยังไม่เข้า แต่มีออเดอร์เพิ่มขึ้นมาอีกถึง 5,000 กก. และผลิตที่ จ.บุรีรัมย์ ขอเงินลงทุนอีก 250,000 บาท และเงินมัดจำกับสัญญาอีก 125,000 บาท โดยอ้างว่าทางบุรีรัมย์ ผลิตไม่ทัน

ตนเห็นว่าน่าจะลงทุนผลิตเอง จึงตัดสินใจชวนแม่ น้า และน้องสาว มาร่วมลงทุนผลิต โดย น.ส.แหม่ม อ้างว่าวัตถุดิบ ข้าวตอก ข้างพอง ถั่ว แบะแซ และ ถุง ที่บุรีรัมย์ถูกกว่า ให้ส่งเงินค่าวัตถุดิบมาให้สั่งซื้อ อีก 191,000 บาท ในขณะที่ครอบครัวตัดสินใจลงทุนซื้อกระทะ เตา อุปกรณ์ เพื่อผลิตกันเอง จะได้ทันการส่งมอบ โดยในส่วนของบ้านตน มีแม่และน้องสาวช่วยกันทำ ได้ 1,200 กก. ส่วนน้องแป้ง ช่วยผลิตกับพ่อแม่ได้ 500 กก. นัดส่งมอบวันแรกช่วงเดือน ก.พ. 62 แต่ทาง น.ส.แหม่ม อ้างว่าติดตรุษจีน รถไม่ว่าง ขอเป็นวันที่ 15 ก.พ. แต่พอเมื่อทวงถามไป ก็อ้างว่าตอนนี้กำลังเคลียร์เงินเรื่องหวย ไม่มีเวลา ขอเป็นวันที่ 18 ก.พ. ได้ไหม ตนก็รอจนถึงวันที่ 18 ก.พ. ก็ไม่มาเคลียร์เรื่องเงิน จนวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมา น.ส.แหม่ม โทรมานัดบอกว่าจะเคลียร์เงินที่ศรีราชา ตนรอจนถึงเวลานัด น้องแหม่ม แจ้งว่า ไม่เป็นไร จะเดินทางมีเคลียร์ให้ที่บางพลีเลย รอจนถึง 5 โมงเย็น ติดต่อโทรศัพท์ไปไม่รับสาย จนสุดท้ายตอน 1 ทุ่ม ปิดสายหายไปเลย

ซึ่งตนได้ให้ลูกชายไปติดตามที่บ้านพักในย่านศรีราชา ตามข้อมูลที่ให้ไว้ พบว่ามีบ้านอยู่จริง วันรุ่งขึ้นได้เดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าว ประกฎว่าพบญาติของ น.ส.แหม่ม บอกว่า น.ส.แหม่ม ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน แต่รู้ว่าบ้านพ่อแม่อยู่ที่ไหน จึงบอกเรา เราไปตามที่บ้าน พบพ่อแม่ ปรากฎว่า ทำงานเป็นภารโรงโรงเรียน ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจขายส่งปลาหมึก ประยาสารท และมะขาม ตามที่อ้าง โดยพ่อแม่ บ่นว่า ก่อเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ยังไงให้ผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีเอาเอง

ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความที่ สภ.บางพลี เพราะว่าตนได้รับความเสียหาย เสียเงินไปกว่า 700,00 บาท ส่วนนายสมศักดิ์  สอนสุด อายุ 51 ปี และ น.ส.อุบลวรรณ  นันทนุช ผู้เสียหายอีก 2 คน ผู้เสียหายอีกสองคนรวมแล้วเป็นเงินกว่า 9 แสนบาท ซึ่งรวมผู้เสียหายทั้งหมดสูญเงินเกือบ 2 ล้านบาท

ทางด้าน พ.ต.อ.โสภณ  มงคลโสภณรัตน์ ผกก.สภ.บางพลี สมุทรปราการ ได้กล่าวว่า หลังจากที่ได้พูดคุยกับผู้แจ้งแล้ว ในคดีนี้คงต้องสอบปากคำอย่างละเอียด โดยให้ทางพนักงานสอบสวน และถ้ามีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นความผิดในเรื่องฐานฉ้อโกง เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานได้แล้วก็จะให้ทางพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกตัวมา เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งในเรื่องนี้มูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้เสียหาย และคู่กรณีเป็นคนเคยรู้จักกันและเคยทำงานร่วมกันก็เลยเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจก็ยอมจ่ายเงินตามที่ผู้ถูกแจ้งอ้างว่าจะเอาไปลงทุนกัน เท่าที่พูดคุยเบื้องต้น ก็อาจจะเข้าข่ายฉ้อโกงซึ่งเป็นคดีอาญา ก็อยากจะฝากเตือนว่า ถ้ามีคนมาชักชวนให้ร่วมลงทุนทำโน้นทำนี่โดยเสนอผลกำไร ก็อยากให้ตรวจสอบต้นทางให้แน่ชัดก่อน ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งในปัจจุบันเป็นไปได้ค่อนข้างอยาก ที่ลงทุนแล้วได้ผลกำไรมาง่าย ๆ ก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สภ.บางพลี ได้สอบปากคำผู้เสียหายทั้ง 3 เพิ่มเติมพร้อมรวบรวมหลักฐานเตรียมออกหมายเรียกตัว น.ส.แหม่ม  ผู้ถูกแจ้งมาทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย หากออกหมายเรียกแล้วไม่มาพบพนักงานสอบสวน ก็จะขออนุมัติหมายจับ ซึ่งคดีนี้ถือว่าเข้าข่ายฉ้อโกงซึ่งเป็นคดีอาญา

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน