X

คืบหน้า สลดแม่ลูกสามผูกคอตายหนีความจนติดหนี้โรงพยาบาลค่าคลอดลูก

ความคืบหน้า จากกรณีแม่ลูกสามผูกคอตายหนีความจนติดหนี้โรงพยาบาลค่าคลอดลูก ล่าสุดสามีผู้ตาย ออกมาเผยว่า ผู้ตายมีอาการซึม ๆ ไม่คอยพูดกับใคร และได้คุยกับผู้ตายครั้งสุดท้ายตอนคืนก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายว่าให้เอาลูกไปฝากป้าเลี้ยง และก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ก่อนเดินทางไปยื่นเอกสารต่อพนักงานสอบสวน เพื่อทำศพมาประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป ด้านฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลดังกล่าว ยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่โทรไปตามทวงเงิน พร้อมจัดส่งเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพจิต ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพจิตของเด็กและครอบครัวตายทันที จากกรณีเมื่อช่วงบ่ายของวานนี้ที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ที่นางสาวน้ำฝน ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ 30 ปี หญิงตกสำรวจพ่อแม่ตาย ไม่มีบัตรประชาชนหรือเอกสารทางราชการ ใช้เชือกผูกคอเสียชีวิตในบ้านไม่มีเลขที่ ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ หนีความจนไม่มีแม้ข้าวสารจะกรอกหม้อ สามีต้องไปขอข้าววัดให้ลูกกิน แถมยังติดหนี้โรงพยาบาลค่าผ่าคลอดและเกิดติดเชื้อ รวมทั้งค่าทำหมันรวมเกือบ 3 หมื่นบาท ทิ้ง 3 ลูกน้อยเผชิญชะตากรรมกับสามีที่ยากไร้ เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้งได้พบกับนายอำพล หนูขาว  อายุ 28 ปี สามีของผู้ตายที่กำลังง่วนอยู่กับการหาเอกสารเพื่อที่จะไปพบพนักงานสอบสวนที่โรงพัก สภ.เปร็ง สมุทรปราการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รับรองการตายของภรรยา เพื่อนำเอกสารไปรับศพนางสาวน้ำฝน ผู้เป็นภรรยา ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สมุทรปราการ เพื่อนำมาตั้งสวดพระอภิธรรมศพที่วัดนาคราช ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เขตติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทรา  โดยมีญาติและเพื่อนบ้านมานั่งปลอบใจกันจำนวนมาก โดยนายอำพล สามีผู้ตาย ได้เล่าว่า ภรรยาตนไม่มีเอกสารทางราชการเลย ตอนที่คบกันใหม่ ๆ ภรรยาก็บอกว่าเป็นคนแถวนี้ ไม่มีญาติพี่น้องพ่อและแม่เสียชีวิตไปแล้ว  ล่าสุดไปคลอดลูกคนเล็กที่โรงพยาบาลบางบ่อ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐบาลโดยการผ่าคลอด และเกิดการติดเชื้อ ค่าทำหมัน รวมแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 27,000 บาท ตนไม่มีเงินจ่ายจึงติดค้างเอาไว้ถึงตอนนี้ก็ประมาณ 1 เดือนแล้ว เคยพูดคุยกับโรงพยาบาลว่าไม่มีเงิน ทางโรงพยาบาลฝ่ายพยาบาลเขาก็บอกว่าจะช่วย  เพราะตนไม่มีงานทำ ตอนนี้ทำงานรับจ้างทั่วไป มีมั่งไม่มีมั่ง เมื่อวานตนก็ออกไปทำงาน ลูก 2 คนอยู่กับผู้ตาย โดยลูกชายคนโตอายุ 5 ปี ไปโรงเรียน ส่วนคนกลางลูกสาววัย 3 ขวบ และคนเล็ก อายุยังไม่ถึง 2 เดือน อยู่กับผู้ตาย บางทีญาติก็มาเอาไปช่วยเลี้ยง มาพักหลัง ๆ ข้าวก็ไม่มีจะกิน วันไหนตนกลับมาเร็วก็จะไปขอข้าวบ้านป้าและขอข้าวที่วัดมากิน และมาช่วงหลัง ๆ ตนสังเกตเห็นผู้ตายมีอาการซึม ๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร และได้คุยกับผู้ตายครั้งสุดท้ายตอนกลางคืนก่อนเกิดเหตุ โดยผู้ตายบอกตนว่าให้เอาลูกไปฝากให้ป้าเลี้ยงเท่านั้น และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นนายอำพล ได้นำเอกสารเท่าที่มีเดินทางไปที่โรงพัก สภ.เปร็ง สมุทรปราการ เพื่อให้พนักงานสอบสวนออกใบรับรองการตาย หลังตรวจสอบประวัติของผู้ตายไม่พบในทะเบียนราษฎร์ เพื่อนำไปรับศพของนางสาวน้ำฝน ผู้เป็นภรรยา ที่ถูกส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สมุทรปราการ เพื่อนำมาตั้งสวดพระอภิธรรมศพที่วัดนาคราช ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เขตติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทรา  โดยจะตั้งศพสวดอภิธรรม 3 คืน และ จะทำการฌาปนกิจในช่วงเย็นวันที่ 3 ธันวาคม นี้ ขณะที่ นายเสนาะ แดงน้อย ผู้ใหญ่บ้านที่มีบ้านพักของครอบครัวนี้พักอาศัยอยู่ ออกมาให้ข้อมูลอีกด้านกับทางทีมข่าว ระบุว่า ครอบครัวดังกล่าวเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเกิดเหตุได้ไม่กี่เดือน ก่อนจะไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล  ซึ่งในวันไปคลอดตนก็เดินทางไปส่งและหลังจากพักรักษาตัวก็เดินทางไปรับกลับ โดยตนเองยังถามเรื่องค่าใช้จ่ายของรพ.ก็ทราบเพียงว่าจ่ายไปแล้วห้าร้อยบาท แต่ไม่ได้พูดถึงยอดรวมของทางโรงพยาบาลทั้งหมด และตั้งแต่กลับมาพักที่บ้านพักก็ยังไม่พบว่ามีการทวงถามหรือเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากโรงพยาบาลแต่อย่างใด การที่มีข่าวออกไปแบบนั้นอาจมาจากความคาดเคลื่อนของการให้ข้อมูลจากญาติบางคนจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด สำหรับครอบครัวนี้หลังจากเข้ามาพักอาศัย จนมาทราบเรื่องว่าผู้ตายไม่มีเอกสารใดๆ ตนก็เคยบอกสามีและผู้ตายเพื่อให้ไปติดต่อญาติฝ่ายหญิงเพื่อขอพิสูจน์สัญชาติ แต่ฝ่ายหญิงกลับบ่ายเบี่ยง ตนก็เลยไม่ได้ติดตามต่อ ที่ผ่านมาสามีผู้ตายจะเป็นคนออกไปรับจ้างทำงานทั่วไป เช่น หว่านปุ๋ยตามท้องนาบ้าง รับจ้างขนย้ายสิ่งของบ้าง โดยได้ค่าแรงรายวัน แต่ที่ผ่านมาฝ่ายหญิงจะไม่ทำงาน รอรับเงินจากฝ่ายชายอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมามักจะหอบลูกตามไปเฝ้าสามีทำงานจนทำให้ทั้งสองมีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยครั้ง ล่าสุดก่อนเกิดเหตุทราบมาว่าเกิดมีปากเสียงกันอีกครั้งเนื่องจากเงินไม่พอใช้ จึงคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุของความน้อยใจบวกกับความเครียดสะสมจนนำมาซึ่งการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังโรงพยาบาลบางบ่อ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่ไม่พบ เนื่องจากไปผู้อำนวยการไปประชุมเตรียมงานปั่นจักรยาน อุ่นไอรัก  และได้พูดคุยกับฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งฝ่ายการเงินยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่โทรไปตามทวงเงินค่าคลอดลูกจากผู้ตายแต่อย่างใด ซึ่งจากประวัติการเข้ารับการรักษาผู้ตาย เข้ามาโรงพยาบาลเพื่อคลอดลูกในวันที่ 2 ตุลาคม 61 และจากการตรวจสอบสิทธิ์   ผู้ตายไม่มีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลเนื่องจากสิทธิ์ว่าง แต่ทางโรงพยาบาลก็ทำการรักษาให้จนหายดี แล้วกลับไปพักฟื้นที่บ้าน นอกจากนี้พอโรงพยาบาลทราบจากข่าวว่าผู้ตายได้ผูกคอฆ่าตัวตาย ประกอบต่อหน้าลูก ก็ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพจิต ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพจิตของเด็กและครอบครัวตายทันที

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน