X

โจ๋เจ้าถิ่นยกพวกรุมสกัมครอบครัวป้าวัย 57 ปี กระทืบน่วมยกครัว แจ้งตำรวจแต่เรื่องไม่คืบ สุดท้ายถูกบุกรุมกระทืบอีก

โจ๋เจ้าถิ่น กว่า 10 คน ยกพวกรุมสกัมครอบครัวป้าวัย 57 ปี กระทืบจนน่วมยกครัว ครอบครัวป้าได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วแต่เรื่องไม่มีความคืบหน้า สุดท้ายโจ๋เจ้าถิ่นได้ยกพวกกลับบุกรุมอีก

ตามที่เฟซบุ๊ก เจ๊มอย V+ ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพที่ครอบครัวถูกกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่นรุมทำร้ายทั้งครอบครัว โดยในข้อความมีการติดต่อขอความเป็นธรรมกับผู้สื่อข่าวเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัวหวั่นถูกทำร้ายร่างกายอีก โดยในข้อความระบุว่า “ นี้คือคนแก่ อายุ 59 ปี ที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นในซอยราชภัฎ ยกพวกมาเกือบ 30 คนเพื่อมารุม ตีฉัน กะลูกสาว แต่แม่ฉัน ลูกเขยฉัน พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกคุณกะตี นี้คือครั้งที่ 2 ที่เขายกพวกมาและฉันเคยลงบันทึกประจำวันไว้แล่ว แต่กะยังไม่กลัว ทำฉันฉันไม่ว่า แต่นี้แม่ฉันทั้งคน ฉันต้องมาเห็นแม่เจ็บมันทรมานหัวใจ เพราะแม่แก่แล้ว แล้วคนที่ล๊อคแขนแม่ฉัน คือคนที่ฉันเคยเอ็นดู รักเหมือนน้องสาวพูดคุยเห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ทักทายกันไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เพราะเขาอายุรุ่นๆ กะลูกสาวฉัน ฉันฝากกล้วยไปให้ลูกเขากินประจำ เพราะเขามีลูกเล็ก

ฉันถามเขาว่าทำไมมาชกต่อยแม่ฉัน เขาตอบว่าหนูไม่รู้ว่าเป็นแม่พี่ทางนี้กะเพื่อนหนูจะให้ทำไง ฉันถามสักคำเพื่อนพายกพวกตีคนแก่ ตีคนไม่มีทางสู้ ชกหน้าฉัน มีกระเทยกะทอมและ ผญ อีกคนมารุมลูกฉัน ผู้ชายอีกเกือบ 20 รุกระทืบลูกเขยฉัน ถ้าเพื่อนพาไปตายจะไปไหม คำว่าเพื่อนคือถ้าเพื่อนพาไปรุมตีใครต้องไปด้วยเหรอ ผู้หหญิงอีกคน เข้ามาหยิบโทศัพท์ของฉันในร้านปาลงพื้นจนแตก พวกคุณรู้สึกเท่ห์ไหมที่รุมคนไม่มีทางสู้ทำคนแก่ ชกหน้าแม่ฉันกระชากหัวแม่ฉัน ชกจนตาอักเสบต้องลางานเสียงานเสียการ รายได้ไม่มี ฉันเจ็บปวดทุกครั้งที่มองหน้าแม่

เมื่อวานคนที่รุมตีขับรถผ่านหน้าร้านทำยิ้มหัวเราะเหมือนสะใจ แต่คุณทุกคนจำไว้ ฉันคนนี้จะเอาเรื่องพวกคุณทุกคนให้ถึงที่สุดฉันจะปกป้องคนในครอบครัวให้ถึงที่สุดฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เงียบเพราะคนที่เจ็บคือแม่ คนไหนที่เป็นญาติเขาไม่ต้องดราม่าเพราะถ้าเป็นแม่ของพวกคุณ พวกคุณคงยอมไม่ได้เหมือนฉัน และที่สำคัญคนที่ใส่เสื้อกาวน์ของโรงพยาบาลก็ร่วมรุมชกต่อย ไม่สมควรจะทำงานในหน้าทีนี้หรอกเพราะคุนไม่มีเหตุผลไม่มีความใจเย็นในการงาน เรื่องเกิดจาก ผญ ทะเลาะกันแต่ ผช เขามายุ่งเข้ามาชกหน้าฉันพวกคุณมันไม่ใช่ลูก ผช พวกคุณมันไอ้หน้าตัวเมียทำตัวเป็นอันธพาลข่มเขงคนอื่นอาศัยคำว่า หมาหมู่ พวกเยอะ ขอโทษนะแม่ที่ทำให้แม่เจ็บตัว ถ้าเรื่องไม่คืบหน้าฉันจะลงสื่อทุกสื่อทำร้องเรียนและจะโชว์รูปคนที่ทำแม่ฉันทุกคน

เมื่อช่วงสายของวันนี้ที่ 2 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าพบผู้เสียหายที่พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ของตำบางปู อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ได้พบกลุ่มผู้เสียหายทั้งสี่คน โดยนางสาว กุลธิดา กลิ่นหอม. อายุ 42 ปี หนึ่งในผู้ถูกทำร้ายได้โชว์บาดแผลที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมยกพวกมารุมทำร้าย ด้วยการชกเข้าที่ดั้งจมูกจนแพทย์ระบุว่ากระดูกดั้งจมูกร้าว ทั้งเล่าว่า  ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณสองเดือนที่ผ่านมาลูกสาวตนได้มีปัญหาผิดใจกับเพื่อน จนมีการโพสต์ข้อความใส่กันไปมา รุนแรงถึงขั้นด่าทอกัน ต่อมาในช่วงเย็นวันเดียวกัน หนึ่งในกลุ่มของผู้ก่อเหตุได้ขับรถผ่านหน้าร้านและเป็นจังหวะที่ตนกำลังทำอาหารให้กับลูกค้าอยู่ที่หน้าร้าน เมื่อมีรถขับมาตนจึงเงยหน้าไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ชายคนดังกล่าวได้ขี่รถย้อนกลับมาพร้อมตะโกนใส่ว่ามองหน้าทำ (เหี้ย) ไร ซึ่งขณะนั้นยอมรับว่ารู้สึกอับอายมากที่ถูกด่าต่อหน้าคนเยอะๆ แต่ก็ต้องอดทนเก็บอารมณ์ไว้  แต่เรื่องยังไม่จบ คนที่ตะโกนด่าตนครั้งแรกได้ขี่รถวนกลับมาตะโกนด่าตนด้วยคำเดิมอีกหลายครั้ง ทำให้ตนเกิดอารมณ์โมโหจึงตัดสินใจคว้าเหล็กเปิดประตูแล้วเดินไปถามว่ามาด่าและให้ของลับทำไม และเกิดการด่าทอกันไปมา อีกฝ่ายได้กลับไปตามพวกมารุมทำร้ายตนและคนในครอบครัว รวมทั้งแม่ของตน หลังเกิดเหตุตนได้พากันไปแจ้งความไว้เมื่อสองเดือนก่อน แต่ถูกตำรวจให้ไกล่เกลี่ยยอมความกัน ซึ่งตนก็ไม่อยากมีปัญหาภายหลัง และคิดว่าเรื่องน่าจบเรื่องลง

จนกะทั่งเมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 29 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ฝ่ายคู่กรณีได้ยกพวกมาไม่ต่ำกว่า 10 คนทั้งชายหญิงรวมได้พากันมาที่ร้าน ขณะที่ลูกเขย คือนาย ศรายุธ บุญประสพ อายุ 20 ปี  ซึ่งยืนอยู่หน้าร้าน ได้ตะโกนเรียกพวกตนให้ออกมาคุย แต่มารดาของตนเองห้ามไม่ให้ออกไป ทำให้อีกฝ่ายตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย อีกฝ่ายได้ใช้ทั้งขวดเบียร์และก้อนหินปาเข้ามาในร้าน และพากันเข้ามาลากตัวลูกเขยออกไปรุมทำร้ายกลางถนน ตนเข้าไปห้ามแต่กลับถูกล็อกตัวและถูกชกเข้าที่จมูกอย่างเต็มแรงสองหมัดจนมึนงงและเกือบสลบ ขณะที่มารดาอายุ 57 ปี ที่คอยห้ามอยู่หน้าร้านกับถูกอีกฝ่ายซึ่งเป็นสาวประเภทสองและผู้ชายช่วยกันจับแขนไพล่หลังก่อนจะชกเข้าที่เบ้าตาของคุณแม่อย่างจังจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่ตนรู้จักเกือบทุกคน และเป็นคนในซอยเดียวกันบ้านพักห่างกันเพียง 4-5 ร้อยเมตรเท่านั้น

ขณะที่นางเรณู อยู่เล็ก  อายุ  57 ปี มารดาที่ถูกทำร้าย ได้เล่าว่า ขณะเกิดเหตุตนยืนอยู่ที่หน้าร้านพยายามเข้าไปห้ามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรุมทำร้าย ทำให้สาวประเภทสองคนหนึ่งเข้ามาจับแขนตนไพล่หลัง ก่อนที่จะมีอีกคนเข้ามาชกที่เบ้าตาและใบหน้าอย่างจังจนล่วงลงไปกองกับพื้น

ด้านนางสาว ดารณี  กลิ่นหอม อายุ 20 ปี ได้กล่าวว่า สาเหตุมาจากตนและอดีตเพื่อนรักที่เคยกินนอนด้วยกันมาเกิดมีเรื่องราวผิดใจกันทำให้มีการโพสต์ข้อความใส่กันไปมาก่อนที่จะบานปลายพากันมาทำร้ายร่างกาย ส่วนสาเหตุมาจากความที่อดีตเพื่อนรักคนนี้ไม่ถูกกับน้องสาวและห้ามตนไม่ได้พูดคุย แต่พอตนพูดคุยกับฝ่ายน้องสาวของตน ทำให้เพื่อนรักคนนี้ไม่พอใจจึงเกิดการด่าทอกันไปมาจนเกิดเรื่องดังกล่าว

ขณะที่นางสาว กุลธิดา ยังเปิดใจทั้งน้ำตาว่า น้อยใจกับการทำงานของตำรวจ สภ.บางปู บางนายที่ตนและครอบครัวเดินทางไปแจ้งความในครั้งแรกเมื่อสองเดือนก่อน ว่าบุตรสาวถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุลากไปทำร้ายร่างกายแต่ไม่สามารถเอาความได้ใช่หรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบจากตำรวจนายหนึ่งว่าไม่สามารถเอาความได้เพราะร่วมกันก่อเหตุ และขอให้ไกล่เกลี่ยกันให้ยอมความ พร้อมทั้งเอ่ยปากบอกว่าขอไกล่เกลี่ยอย่าสร้างเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้กับตำรวจ แค่นี้ตำรวจก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ซ้ำยังกล่าวหาว่าตนจะต้องการเรียกร้องเงินจากฝ่ายคู่กรณีใช่ไหม  ทำให้ตนเองถึงกับสะอึกและพูดอะไรไม่ออกทำได้แค่คิดในใจว่าทำไมล่ะเพราะเดือดร้อนเราถูกกระทำ จนต้องเก็บความเจ็บซ้ำทั้งร่างกายและจิตใจ จนต้องหอบความบอบซ้ำกลับมาบ้านพัก ซึ่งมารดายังเอ่ยปากบอกเราคงพึ่งพาใครไม่ได้ แม้แต่ตำรวจยังพึงพาไม่ได้ และอยากให้มันจบเรื่องราวและเดินหน้าทำมาหากินสู้ชีวิตกันต่อไป จนกะทั่งมาเกิดเหตุซ้ำขึ้นในครั้งนี้ เสียงของนางสาวกุลธิดา พูดถึงตำรวจบางปู

ผู้สื่อข่าวจึงติดตามสอบถามไปยัง พ.ต.อ. พิสุทธิ์  จันทรสุวรรณ ผกก.สภบางปู เพื่อสอบถามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว โดยทางด้าน ผกก.ได้ชี้แจ้งว่าในเบื้องต้นทางด้านผู้ใต้บังคับบัญชายังไม่ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ตนทราบ และพึ่งมาทราบจากนักข่าวจึงขอพูดคุยกับทางผู้เสียหาย ซึ่งหลังจากทราบเรื่อง ทางด้านผู้กำกับได้ออกมาระบุกับผู้เสียหายว่าจะให้ความเป็นธรรม พร้อมจะสั่งการให้ฝ่ายสืบสวนไล่ล่าตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด และจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีก พร้อมทั้งจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำรวจนายนั้นที่ออกมาพูดจากับผู้เสียหาย จนทำให้ฝ่ายผู้เสียหายรู้สึกแย่ต่อการทำงานของตำรวจ ซึ่งตนเองยืนยันหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นจริงอย่างที่ผู้เสียหายระบุก็จะต้องดำเนินการทางวินัยต่อนายตำรวจผู้นั้น

ขอบคุณข้อมูล : เจ๊มอย V+

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน