X
โควิด19

เปิดใจผู้สังเกตอาการโควิด19 “ช่วงเวลาที่ต้องโดดเดี่ยวตัวเอง …”

ขอนแก่น–“อะไรก็ไม่เท่าถูกบูลลี่” เปิดใจอาจารย์ มข.ที่อยู่ระหว่างสังเกตอาการโควิด19 หลังกลับจากเกาหลี สารพันปัญหาทั้งเครียด-เพื่อนเมิน-แกร็บไม่อยากส่งข้าว 

จากกรณีที่มีหนังสือชี้แจงจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นถึงเรื่องบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัย ขอนแก่น จำนวน 57 คน ได้เดินทางไปทัศนศึกษา “เปิดโลกทัศน์นักศึกษา ม.ขอนแก่น ครั้งที่ 17”  ที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด19  และทั้งหมดได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ของกระทรวงสาธารณสุข ทางมหาวิทยาลัย ขอนแก่นจึงได้ให้บุคลากรและนักศึกษาหยุดเรียนหรือหยุดปฏิบัติงานเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการ โดยไม่ถือเป็นการขาดเรียนหรือขาดการปฏิบัติงาน และไม่นับเป็นวันลา

ทีมข่าว 77 ข่าวเด็ด ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์อาจารย์ที่ร่วมคณะเดินทางไปทัศนศึกษาที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งขณะนี้กำลังเฝ้าสังเกตอาการที่บ้านเพียงลำพัง และได้เปิดใจถึงสถานการณ์ในขณะนี้ว่า ตอนนี้ทุกคนในทริปกลับมาแล้วก็พยายามอยู่บ้าน หรือในหอมีห้องว่างก็ขอย้ายไปอยู่คนเดียว ก็พยายามวางตัวให้ทุกคนรอบข้างสบายใจ และก็มีห้องไลนกลุ่มไว้พูดคุยกัน มีแบบฟอร์มของ รพ.ศรีนครินทร์ ให้กรอกข้อมูลว่า เรามีอาการอะไรผิดปกติบ้าง ถึงวันนี้ (27 ก.พ.63) ก็เป็นวันที่ 5 ของการสังเกตอาการแล้ว ก็ต้องอยู่ให้ครบ 14 วัน แต่ทุกคนก็เข้าใจว่า เป็นวิธีการที่ควรทำสำหรับคนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง

สำหรับทริปที่เดินทางไปครั้งนี้เป็นโครงการของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่พานักศึกษาจากหลาก หลายคณะไปทัศนศึกษาที่ต่างประเทศ โดยจะจัดต่อเนื่องทุกปี สำหรับในปีนี้ได้เริ่มวางโครงการกันเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ช่วงนั้นยังไม่มีการระบาดของไวรัสโควิด19 ในคณะทัวร์จะมีนักศึกษาทั้งหมด 51 คน และมีอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ใครดูแลทริปอีก 6 คน ส่วนอีก 2 คนจะเป็นไกด์ที่จะนำเที่ยวที่เกาหลี รวม 59 คน

พอเริ่มโครงการขึ้นมาก็พอดีเป็นจังหวะเดียวกับที่เริ่มมีการระบาดของโรคไวรัส ทุกคนก็รู้สึกกลัวและก็อยากจะถอนตัวจากทริปนี้เพราะกำหนดการจะเดินทางออกจากจังหวัดขอนแก่นวันที่ 18 ก.พ. และเดินทางไปประเทศเกาหลีใต้ในวันที่ 19 ถึง 22 กุมภาพันธ์ แต่โครงการก็ได้เริ่มดำเนินการไปมากแล้ว ประกอบกับในช่วงนั้นทางมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้ยกเลิกการเดินทางเพราะยังไม่มีอะไรบ่งชี้ว่า สถานการณ์จะมีความรุนแรงมากขึ้น ทุกคนก็เลยมารวมตัวกันออกเดินทาง

แต่เมื่อเราไปถึงประเทศเกาหลีใต้ก็พบว่า สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ประเทศไทยเองและมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็มีประกาศห้ามการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ อย่างไรก็ดีในการไปครั้งนี้ทุกคนก็ได้เตรียมตัวป้องกันอย่างดี  โดยจะมีการพกหน้ากากอนามัยไปด้วยทุกคน  ทางผู้จัดทัวร์ก็ได้เตรียมหน้ากากอนามัยแล้วก็เจลล้างมือไว้ให้ครบคัน

เมื่อไปถึงที่นั่น เราก็ได้ไปดูงานในสถานที่ต่างๆ นอกกรุงโซลและต่อมาก็ได้เดินทางเข้าไปที่กรุงโซล เมืองหลวง  ตอนนั้นแม้จะมีข่าวเรื่องคุณป้าคนหนึ่งที่เป็นพาหะของการระบาดของโรคนี้ แต่ในช่วงนั้นก็ถือว่า ทุกคนเตรียมตัวป้องกันอย่างดี คาดหน้ากากอนามัย ใช้เจลล้างมือให้บ่อยขึ้นทุกครั้งที่ไปสัมผัสกับพื้นผิวข้างนอกแล้วก็ระวังไม่ขยี้ตา ต้องบอกว่า ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่อากาศกำลังหนาวเย็นมาก ซึ่งก็มีบางคนที่แพ้อากาศที่นั่นแล้วก็เริ่มจะป่วยเป็นไข้หวัด

เมื่อใกล้จะถึงช่วงเดินทางกลับ ก็มีการพูดคุยกันถึงสถานการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป มีความรุนแรงมากขึ้น  ทางคณะทัวร์ก็ทราบถึงความกังวลที่ขอนแก่นสำหรับกลุ่มที่เดินทางมาในพื้นที่เสี่ยง

“เราก็ได้พูดคุยกันในคณะทัวร์ ตัวผมเองก็ได้แจ้งให้ภรรยาและลูกทราบว่า เมื่อกลับถึงเมืองไทยจะขอแยกตัวไปอยู่เพียงลำพังเพราะพอดีว่า ผมมีบ้านของตัวเอง ภรรยาก็อยู่ที่บ้านของพ่อแม่เขา   พร้อมกับลูก เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนเพราะผมเองก็อาจได้รับเชื้อมาก็ได้”

จากนั้นทางคณะได้ประสานกับ รพ.ศรีนครินทร์ ถึงมาตรการในการตรวจหาเชื้อโควิด19 ซึ่งทางโรงพยาบาลก็แนะนำมาว่าที่ด่านสุวรรณภูมิก็มีด่านคัดกรองโรคอยู่แล้ว ให้เราตรวจที่นั่น เพราะมีวิธีคัดกรองโรคเหมือนกัน

วันที่เดินทางกลับทุกคนก็ระวังตัวกันมีการใส่หน้ากากตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน เมื่อถึงที่สุวรรณภูมิก็ผ่านด่านคัดกรองโรค ทุกคนก็ผ่านมาด้วยดี ในกลุ่มไม่มีใครที่ถูกเรียกไปตรวจเพิ่ม แต่ในส่วนตัวคิดว่า มีปัญหาที่ตรงด่าน ตม. เพราะทุกคนต้องวางนิ้วลงไปที่เครื่องสแกนซึ่งไม่มีการทำความสะอาด ไม่มีเจลหรืออะไรให้ทำความสะอาดมือเลย

เมื่อออกจากสนามบินแล้ว ทั้งคณะก็มาขึ้นรถทัวร์หนึ่งคันและรถตู้อีกหนึ่งคันเดินทางกลับขอนแก่น ระหว่างเดินทางกลับมาขอนแก่นเราก็ได้มีการพูดคุยกันว่า “เมื่อมาถึงขอนแก่นแล้วต่างคนจะแยกไปเพื่อสังเกตอาการ อย่างเช่นตัวผมเองตอนนี้ก็อยู่บ้านคนเดียว กับข้าวก็สั่งทางแกร็บ ถ้าหากว่าจะเดินออกไปซื้ออาหารก็จะใส่หน้ากากก่อนออกไป จะไม่นั่งทานที่ร้านแต่จะนำกลับมาทานที่บ้าน ก็จะทำแบบนี้ทุกวันเพื่อป้องกันตัวเอง แล้วก็ป้องกันคนอื่นด้วย เท่าที่เราจะทำได้ แต่ก็ยอมรับว่า ในการซื้อของอะไรนี้เราก็ยังต้องจ่ายด้วยเงินสด”

กรณีเรื่องของนักศึกษาสองคนที่มีอาการไข้ จริงๆ ก็เป็นไข้ต่ำๆ 37.5 องศาเซลเซียส แต่ตามมาตรการเฝ้าะวังก็ต้องเข้ารับการรักษา เอ็กซเรย์ ตรวจหาเชื้อโควิด19 แต่สองคนนี้ก็มีผลเลือดเป็นลบ เพราะต้องยอมรับว่า สองคนนี้เขาตะลุยชมสถานที่มากกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไปด้วยกันทุกที่ทุกคน แต่อาจด้วยร่างกายเขาด้วย เลยมีไข้ต่ำๆ ก็มีเฉพาะสองคนนี้ที่ต้องตรวจละเอียดกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นไม่มีไข้หรืออาการผิดปกติอะไร

“ในส่วนปฎิกิริยาของคนรอบข้าง ต้องยอมรับว่า น่าห่วงในกลุ่มนักศึกษา บางคนถูกรังเกียจจากเพื่อนๆ ไม่สังสรรค์ด้วย ส่วนตัวเองก็ยอมรับว่า รู้สึกเครียดเหมือนกันเพราะไม่ได้เจอลูกเลย แล้วไม่รู้ว่าหลัง 14 วันแล้วจะหอมแก้มลูกได้ไหม แต่ละวันก็ใช้เวลาดูหนังไปเรื่อยๆ ต้องบอกว่าตัวเองเครียดกว่าคนที่โพสต์ในสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะเป็นคนไปเสี่ยงมา ใน มข.เราอาจไม่โดนเชื้อโควิด2019 แต่เราโดนบูลลี่ 2020 ทั้งที่เราไม่ได้เป็นพาหะ เราแค่สังเกตอาการเท่านั้น โชคดีตอนนี้ทางผู้บริหารเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนของนักศึกษาบางคนที่ไม่สามารถออกไปซื้อกับข้าวซื้อของได้ ก็มีคนช่วยซื้อมาส่งให้ ก็ถือว่าช่วยดูแลกันไป”

จากประสบการณ์ครั้งนี้อยากบอกว่า อยากเห็นคนไทยเรามีวินัยในการป้องกันตนเอง แม้จะใส่หน้ากาก แต่มือเราก็ไปจับอะไรทั่วไปหมด ทั้งกลอนประตู มือจับ ก๊อกน้ำ ปุ่มกดต่างๆ แล้วก็เอามาขยี้ตาขยี้จมูก ไม่ใช่แค่พกหน้ากากแต่ต้องพกถุงมือ หรือมีเจลล้างมือติดไปด้วย และควรหัดนิสัยไม่ขยี้ตาหรือจมูก จะป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด และสำหรับคนที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงก็จะ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม แยกตัวออกมาสังเกตอาการแม้จะไม่มีอาการไข้ แต่ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัว เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนอื่นด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

ทีมข่าว77ขอนแก่น

ทีมข่าว77ขอนแก่น

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น